วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

พงศาวดารเหนือ เรื่อง สร้างเมืองพิศณุโลก

       ๏ จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ คิดอ่านกันว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเจ้าเราใช้เรามาที่นี้ ชรอยจะเปนปฤษณามาแก่เราทั้งสองนี้แล้วมีอาญาฐานที่นี้ก็เปนอันราบคาบนักหนา ทั้งสองฟาก มีบ้านพราหมณ์ก็อยู่ทั้งสองฟาก มาเราจะสร้างเมืองถวายแก่เจ้าเราเถิด ครั้นเจ้าทั้งสองคิดกันแล้ว จ่านกร้องจึงให้พ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามไปข้างตวันตกก็ตั้งทับประกับเกวียนไว้แล้ว จึงทำสารบาญชีชะพ่อพราหมณ์แลไพร่ของตนรวมกันเปนคน ๑๐๐๐ ทำอิฐ จ่าการบุรณ์ทำบาญชีชะพ่อพราหมณ์แลไพร่ของตน รวมกันเปนคน ๑๐๐๐ เท่ากัน ทำอิฐได้เปนอันมาก แล้วจึงให้หาชะพ่อพราหมณ์ อันเปนผู้เถ้าผู้แก่ตามไสยสาตรจึงให้ชะพ่อพราหมณ์กินบวชถือศีล เขนง ๗ วันแล้วสระเกล้า แล้วขึ้นโล้ถีบอัมพวายแก่พระอิศวรเปนเจ้าจึงเอาพระอิศวรออกไปเลียบที่ตั้ง เมือง จึงให้พราหมณ์ชักรอบทิศตั้งเมืองแล้ว จึงปันน่าที่ยาว ๕๐ เส้นสกัดสิบเส้นสิบวา ปันน่าที่ไว้แก่พราหมณ์จะได้เท่าใด ไทยจะได้เท่าใด ลาวจะได้เท่าใด ครั้นปันน่าที่แล้ว พอได้ณวันพฤหัศบดีเดือนสามขึ้นค่ำหนึ่งปีฉลูฉศก เพลาเช้า ต้องกับเพลาเมื่อพระพุทธเจ้าฉันจันหันใต้ต้นสมอวันนั้น พระอุบาฬีเถรแลพระคิริมานนท์ก็นิพพานในที่นั้น แต่ก่อนก็เรียกว่าพนมสมอบัดนี้ก็เรียกว่าเขาสมอแครง เขาบรรจุพระธาตุเจ้าทั้งสองไว้ในที่นั้น แลครั้นพระสงฆ์องค์ใดเข้ามาอยู่ที่นั้นก็ย่อมเรียกตามที่นั้นว่าเปนอรัญวาสี จ่านกร้องสร้างข้างตวันตก จ่าการบุรณ์สร้างข้างตวันออกแข่งกัน ทำปีหนึ่งกับเจ็ดเดือนจึงแล้วรอบบ้านพราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งคูก็รอบกันหนทางเด็กเลี้ยงวัว ลูกชาวบ้านหริภุญไชยไปมา ปั้นพระนอนเล่นทั้งสองฟากเปนประตูแปดอันตามอันดับกันเจ้าทั้งสองจะให้ชื่อ ประตูก็ถามคนอันเปนผู้เถ้าผู้แก่ทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายจึงว่าทั้งสองสิเปนมหาเสนา การทั้งนี้ตามแต่ปัญญาเจ้าทั้งสองเถิด สร้างเมืองปีหนึ่งกับ ๗ เดือนจึงแล้วดังนี้แล ครั้นจ่านกร้องจ่าการบุรณ์ทำเมืองแล้วทั้งสองฟาก ทั้งทวารบานประตูบริบูรณ์แล้ว จึงสั่งชีพ่อพราหมณ์ให้รักษาเมือง ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงนำเอาเกวียนแลคน ๕๐๐ เล่ม ขึ้นไปสองเดือนจึงถึงเมืองเชียงแสนราชธานี จ่าทั้งสองเข้าไปถวายบังคม จ่าทั้งสองจึงกราบทูลพระกรุณาว่าพระองค์เจ้าใช้ตูเข้าไปถึงที่พระพุทธเจ้า ฉันจันหันใต้ต้นสมอ สถานที่นั้นเปนอันสนุกนักหนา ข้าพเจ้าชวนกับชะพ่อ พราหมณ์ทั้งหลายสร้างเมืองถวายแก่พระองค์เจ้าแล้ว

       ๏ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยินดีนักหนา จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย พระองค์จึงให้จ่าทั้งสองไปก่อนเปนทัพน่าท้าวพระยาทั้งหลายเปนปีกซ้ายขวา เจ้าไกร สรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสองเปนกองรั้งหลังตามเสด็จพระราชบิดาพระราชมารดาออกจากพระนคร ณวันอาทิตย์เดือนอ้ายแรมหกค่ำเพลาเช้าไปได้สองเดือนจึงถึง พระองค์ให้ตั้งทับพลับพลาทองริมน้ำ ไกลเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงให้ท้าวพระยาทั้งหลาย แลเจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร ตามเสด็จเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ชื่อเมือง จึงมีพระราชโองการตรัสถามชะพ่อพราหมณ์ว่าเราจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์จึงกราบทูลตอบพระราชโองการว่าพระองค์เจ้ามาถึงวันนี้ได้ยามพิศ ณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพราหมณ์ว่าเมืองพิศณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาต ก็ชื่อว่าโอฆบุรีตวันออก ตวันตกชื่อจันทบูร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลายว่า เราชวนกันสร้างพระธาตุแลพระวิหารใหญ่ ตั้งพระวิหารทั้งสี่ทิศ ครั้นสร้างของพระยาแล้ว ต่างคนต่างก็สร้างคนละองค์ เรื่องสร้างพระชินสีห์ พระชินราช

       ๏ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงรำพึงในพระไทยจะใคร่สร้างพระพุทธรูปให้แล้วด้วยสำริด ครั้นพระองค์รำพึงแล้วจึงให้หาช่างได้บาพิศณุคนหนึ่ง บาพรหมคนหนึ่ง บาธรรมราชคนหนึ่ง บาราชกุศลคนหนึ่ง ได้ช่างมาแต่เมืองสัชนาไลย ๕ คน มาแต่เมืองหริภุญไชยคนหนึ่ง เปนช่าง ๖ คน จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งช่างทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายให้ชวนกันรักษาศีล ๕ ประการอย่าให้ขาด ครั้นสั่งช่างแล้วจึงพระราชทานรางวัลแก่ไพร่ทั้งหลาย ให้ขนดินแลแกลบให้แก่ช่าง ๆ จึงประสมดินปั้นเปนรูปพระพุทธเจ้าสามรูป ตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั้น ให้เหมือนพิมพ์เดียวแลใหญ่น้อยเท่ากัน ครั้นปั้นเบ้าคุมพิมพ์แล้วท้าวพระยาทั้งหลายก็นำเอาทองสำริดมาถวายแก่ พระองค์เจ้า ชวนกันหล่อพระพุทธรูปเปนอันมาก แลช่างหล่อชวนกันกินบวชเจ็ดวัน ก็ทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้งเจ็ดทิศ ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงเอาพิมพ์เข้าเตา วันเธอหล่อนั้นวันพฤหัศบดีเพ็ญเดือนสี่ปีจอ ชุม นุมพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระอุบาฬี แลพระคิริมานนท์เปนประธาน แลพระสงฆเจ้าทั้งหลาย หล่อให้พร้อมกันทั้งสามรูป แลรูปพระศรีศาสดาพระชินสีห์ทั้งสองพระองค์นั้นทองแล่นเสมอกันบริบูรณ์ ยังแต่พระชินราชเจ้านั้นมิได้เปนองค์เปนรูปหามิได้ แต่ช่างหล่อถึงสามทีก็มิได้เปนองค์ แลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ก็เกิดเปนทุกข์ยิ่งนักหนา แลพระองค์ก็ตั้งสัจจาธิษฐานว่า ด้วยบุญเดชะอันกูได้เรียนพระไตรปิฎกแลได้ทำพิธีกรรมฐานสอนสงฆ์ทั้งหลายให้ อยู่ทางมรรคผลแก่พระสงฆเจ้าอนึ่งจะปราถนาเปนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล นับมิได้ แต่พระองค์เจ้ารักษาศีลแลถือความสัจมิได้ขาดแลมีใจกรุณาแก่คนแลสัตวทั้งหลาย ครั้นพระองค์ตั้งสัจอธิษฐานแล้ว จึงมีพระราชโองการว่าแก่เจ้าประทุมเทวี ให้ตั้งสัจอธิษฐานบ้างเถิด ครั้นนางตั้งสัจอธิษฐานแล้ว ก็ร้อนถึงอาศนพระอินทรเจ้า ๆ จึงนฤมิตรเปนตาปขาว ลงมาช่วยทำรูปพระคุมพิมพ์ปั้นเบ้า ถ้าจะนฤมิตรเปนไปทีเดียวก็จะได้ แต่ว่าจะให้ปรากฎแก่ตาคนทั้งหลาย ช่วยทำเปนช่าง น้ำก็มิกินเข้าก็มิกินตาก็มิหลับ ใจก็แขงหาที่จะกลัวมิได้ แลมีรูปอันแก่กว่าคนทั้งหลายแต่เทียวไปมาช่วยสองวันทีหนึ่งสามวันทีหนึ่ง จึงทำตรีศูลไว้ในพระภักตรให้เปนสำคัญ ให้รู้ว่าพระอินทรเจ้าสุราไลยลงมาช่วย ครั้นถึงเดือนหนึ่งพิมพ์พระพุทธรูปแห้งแล้ว จึงให้ช่างทั้งหลายตั้งเตาจะหล่อพระชินราช แต่ณวันพฤหัศบดีเดือนหกขึ้นแปดค่ำ ปีกุญตรีศก เพลาเช้า พุทธศักราช ๑๕๐๐ ปีกุญสัมฤทธิศก ด้วยอานุภาพพระอินทราธิราชเจ้า ทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ ครั้นบริบูรณ์แล้วพระอินทรเจ้าเสด็จออกจากเมืองอำมาตย์จึงเข้าไปกราบทูลแก่ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ให้รู้อาการว่าตาปขาวที่มาช่วยกันนั้นไปแล้ว พระองค์เจ้าจึงให้ไปตามแลดูให้รู้เหตุ อำมาตย์ตามไปถึงกลางหนทาง ก็อันตรธานหายไปในที่นั้น อำมาตย์จึงเอาไม้ไปปักไว้เปนสำคัญ จึงเข้ามาทูลให้พระองค์เจ้ารู้เปนอันแม่นมั่นว่าพระอินทรเจ้ามาช่วย พระองค์เจ้าจึงให้ตีดินนั้นออก จึงเห็นตรีศูลในพระภักตรแห่งพระพุทธรูปนั้น พระองค์เจ้าจึงให้ช่างทั้งนั้นช่วยกันขุดเกษาพระพุทธรูปนั้น ก็เปนรูปอันงามบริบูรณ์แล้วทั้ง ๓ พระองค์ๆ หนึ่งชื่อพระชินราช องค์หนึ่งชื่อพระชินสีห์ องค์หนึ่งชื่อพระศรีศาสดา พระองค์ฝากชื่อไว้ว่าราชด้วย ชื่อพระเจ้าพระองค์หนึ่ง ให้เอาไปตั้งไว้ในสถานสามแห่งไว้เปนที่เสี่ยงทาย ไว้ท่ามกลางเมืองพิศณุโลก แล้วพระองค์เจ้าจึงให้ตั้งพระราชวังฝ่ายตวันตกบริบูรณ์แล้วจึงให้เอาเจ้าสุ ลเทวีลูกพระยาสัชนาไลยมาแล้ว พระองค์จึงให้ราชาภิเศกกับด้วยเจ้าไกรสรราชณเมืองลโว้ แลพระองค์เจ้ากับท้าวพระยาทั้งหลาย ช่วยกันฉลองวัดวาอารามแลพระพุทธรูปเจ็ดวันแล้ว พระองค์ให้ตั้งบ้านส่วยสัดพระพุทธรูปทั้ง ๓ พระองค์นั้นบริบูรณ์แล้ว พระองค์จึงตั้งจ่านกร้องแลจ่าการบุรณ์ ให้เปนมหาเสนาซ้ายขวาคนทั้งสอง ครั้นได้ฤกษ์วันดีเปนวันอาทิตย์พระองค์เจ้าจึงให้ยกพลเสนาท้าวพระยา ตามลำดับมาจากวัง ทั้งนั้นหาไภยอันตรายมิได้ พระองค์เจ้าเสด็จไปสถานที่ใด ย่อมมีเงินแลทองเกิดทุกราวทาง ครั้นว่าอันใดก็เปนเงินเปนทอง ทุกแห่งทุกหนทุกตำบล เสด็จขึ้นไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงนครบุรีรมย์ แลเจ้าชาติสาครข่มเหงท้าวพระยาทั้งหลาย มิได้ให้ยิ่งกว่าตนได้ ย่อมรักษาตระกูลแห่งตนอยู่ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น