สังเวค (Sa½vega)
ความเป็นมาความสำคัญ
สังเวค (ป. สํเวค) หมายถึง ความสลด พระพุทธโฆสะได้อรรถาธิบายในอัฏฐสังเวควัตถุว่า การน้อมใจให้สังเวชด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ ๘ ประการ จำแนกออกเป็น ๒ ส่วน คือ
ส่วนต้น
๑) ชาติ ความเกิด (birth)
๒) ชรา ความแก่เฒ่า (decay)
๓) พยาธิ ความเป็นผู้มีโรค (illness)
๔) มรณะ ความตาย (death)
ส่วนปลาย
๕) ทุกข์ในอบาย (suffering of loss)
๖) ทุกข์ที่มีวัฏฏะ เป็นมูลในอดีต (suffering of the past rooted in the round of rebirth)
๗) ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต (suffering of the future in the round of rebirth)
๘) ทุกข์ที่มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน (suffering of the present rooted in the search for food)
การพิจารณาสังเวคนั้น กล่าวในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิวรรค สังคีติไว้ว่า สํเวชนีเยสุ าเนสุ สํเวค ความสลดใจในที่ ๆ ควรสลดใจ ฯ และ สํวิคฺสสฺส โยนิโส ปธาน ความเพียรโดยความแยบคายของผู้มีความสลดใจ ฯ การพิจารณาสังเวคธรรมนั้น ก็เพื่ออาศัยชำระจิตให้พ้นจากกิเลส คือ วัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดจากการตั้งจิตใจให้รู้ว่า สังเวควัตถุ ๘ ประการนั้น เป็นกิเลส กรรม และวิบาก ที่นำมาซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น บุคคลทั้งหลายพึงมีความเพียรและมีสังเวคธรรม อันประกอบด้วย ศรัทธา ศีล วิริยะ สมาธิ และธัมมวินิจฉัย สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ มีสติมั่นคงก็จะละทุกข์นี้ได้ ในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท การพิจารณาสังเวคเพื่อให้เกิดความหน่ายในสังสารวัฏ และเมื่อเกิดความหน่ายก็จะเพียรปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ และเพื่อการสิ้นอาสวกิเลส (กิเลสที่นองเนื่องอยู่ในสันดาน) ที่มีในตน ดังที่กล่าวในสังเวคฉบับวัดธงสัจจะ ลำพูนว่า
“ชาติ อันว่าพยาธิอันเกิดมา โลเก ในโลกนี้ ชาติชราปิ ทุกฺขา คือว่าอันเฒ่า
คร่ำชรา ทุกฺขา ก็เป็นทุกข์ ๑ แล ฯ พฺยาธิทุกฺขา คืออันเพิงเป็นพยาธิทุกข์ก็เป็นทุกข์ ๑ แล ฯ มรณาปิ ทุกฺขา คือว่าอันตาย ทุกฺขา ก็เป็นทุกข์ ๑ แล ฯ”
ชาติ หมายถึง การเกิด และ ชาติธรรม หมายถึง การมีความเกิดเป็นของธรรมดา ใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค อาทิธรรมสูตร ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นต้นเป็นธรรมดา คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส มีความเกิดเป็นธรรมดา สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ที่มีจักษุเป็นปัจจัย ย่อมมีความเกิดเป็นธรรมดา ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส มีมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ย่อมมีความเกิดเป็นธรรมดา เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด ย่อมหลุดพ้น และเมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว ดังนั้น โดยหลักธรรมเบื้องต้นจึงกล่าวว่า ชาติ ชรา พยาธิ มรณะเป็นทุกข์ มีความสัมพันธ์ติดต่อเนื่องกัน
ส่วนปลาย ทุกข์ในอบาย ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต แล ทุกข์ที่มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน กล่าวคือ ทุกข์ในอบายนั้น เรียกว่า อุปธิ กิเลสที่ทำให้ติดอยู่ในวัฏฏะ คือการมีชีวิตอยู่ ยินดีใหอบายทั้งหลาย คือกามคุณ ๕ คือสิ่งที่น่าปรารถนา ๕ ประการ คือ รูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ตายแล้วย่อมเดือดร้อนเพราะวิบาก ย่อมไปสู่ทุคติ คืออบาย ๔ คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกาย และกำเนิดติรัจฉาน ดังที่กล่าวไว้ในสังเวคฉบับวัดธสัจจะว่า
“อันว่ากรียาอันเกิดในอบายทัง ๔ มีนรกเป็นต้นนั้น ทุกฺขํ ก็เป็นทุกข์มากนักแท้จริงแล เหตุว่าทุกข์อันนั้นเป็นอันแน่นยิ่งนัก เป็นผรุสะยิ่งนัก ทุกฺขํ ก็เป็นทุกข์ อันลำบากถนัดใจ บ่ทนอดได้สักยามแท้จริงแล เหตุว่าทุกข์ในนรกนั้น
นิรันตระสันตติ คือบ่มีหว่างช่อง เท่าอยู่แก่เปลวไฟ ๓ ประการ อันไหม้ตนอยู่วะวู่วะวาดลุกเป็นเปลวอยู่บ่ขาดสักยาม คือ ไหม้ชิ้น ไหม้หนัง เอ็นไหม้ กระดูกไหม้ ไปด้วยลำดับ ลวดเสี้ยงไปทั่วตัวแล้วก็บ่หื้อตาย เหตุว่าบาปกรรมอันตนหากกระทำมาแต่ภายหลังหื้อตนได้เสวยทุกขเวทนาฉันนั้น คันไฟหากไหม้เนื้อตนตัวทังมวลหากเสี้ยงแล้ว พ้อยซ้ำบังเกิดหื้อเป็นตนเป็นคนคืนมาเล่า ไฟก็ซ้ำไหม้แถมฉันเดียวนั้นอยู่ไจ้ ๆ เล่า ตราบต่อเท้าสี้ยงกัปก็มีแล ฯ”
ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต คือ มีการเวียนว่ายตายเกิดเนื่องจากบาปกรรมที่ทำไว้แล้วในอดีตส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต ทุกข์ที่กระทำแล้วในปัจจุบันส่งผลในชาติ ต่อ ๆ ไป และทุกข์ที่มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน หมายถึง การแสวงหาอาหารย่อมมีการฆ่าสัตว์ เป็นการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ย่อมส่งผลให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ดังที่กล่าวไว้ในสังเวคฉบับวัดธงสัจจะว่า
“คันว่าเกิดมามีอายุวัยขึ้นใหญ่มาได้ ๕ ปี ๗ ปี ๘ ปี ๙ ปี ๑๐ ปี ลำดับขึ้นไปเถิงซาว ๓๐ ปีนั้น ก็เท่าจักเดินไปขงขวายหายังอาหารมาเลี้ยงชีวิตตนหื้อใหญ่มาด้วยปี ด้วยเดือนแลวันยามหื้อใหญ่มาแล้วแลตายแล้วพ้อยเปื่อยเน่าเสีย มีคันธะกลิ่นอันเหม็นฟุ้งหงาย ก็ฉิบหายตายไปเล่า ทุกฺขํ ก็เป็นทุกข์เสียเปล่าเสียดาย เหตุว่าหาแก่หาสารบ่ได้แก่ตน หาอันจักเป็นโยชนะบ่ได้สักอันแท้แล ตราบใดบ่ได้ดับเสียยังขันธะทัง ๕ เทื่อนั้น คือว่าตนอันเป็นที่เพิ่งที่เกิดแห่งตนทังมวลนี้เสียเทอะ ก็ยังจักได้ไปแสวงหามาเลี้ยงชีวิตตนอยู่ไจ้ ๆ เสมอดั่งเลี้ยงงูเห่าพิษ ๔ ตัวไว้หื้อขบตอดบีบเบียนตัวตน ตัว ๑ ชื่อว่า เตโช ตัว ๑ ชื่อว่า อาโป ตัว ๑ ชื่อว่า วาโย ตัว ๑ ชื่อว่า ปฐวีแล อันว่างูพิษ ๔ ตัวนั้น เขาก็สับตอดตนตัวหื้อวินาศ
ฉิบหายตายดั่งอั้น ฯ”
การพิจารณาสังเวคเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้นอธิบายว่า เมื่อใดจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีความสดชื่น สม่ำเสมอ ดำเนินตนไปตามทางแห่งสมถะ ปฏิบัติชอบ การประครองจิตใจให้ร่าเริง เรียกว่า การเพ่งดูจิต น้อมไปในสมาธิสัมโพชฌงค์ ในอิริยาทั้งหลาย กระทำด้วยความแยบคาย พิจารณาถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขาร และในเมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น ความเจริญย่อมเกิดขึ้นได้แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ในตอนท้ายของสังเวคฉบับวัดธงสัจจะกล่าวถึงนามรูป (นามรูปํ) คือ รูปที่ประกอบด้วยมหาภูติ ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาศธาตุ และนาม คือ วิญญาณธาตุ มีลักษณะรับรู้อารมณ์ เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ์ สัญญามีลักษณะจำอารมณ์ สังขารมีลักษณะปรุงแต่งอารมณ์ หรือนัย ๑ ขันธ์ ๕ ส่วนหนึ่ง ๆ ของรูปกับนามที่แยกออกเป็น ๕ กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
การนำธรรมสังเวคขึ้นเพื่อให้มีจิตใจพิจารณาทุกสิ่งตามความเป็นจริงแล้วนำนามรูปแมขยายเพื้อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ฯ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา พฺยาธีปิ
ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ
สงฺขิตฺเตน ปฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา ฯ” ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต ทุกข์ที่มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน และนามรูป เป็นสิ่งเกี่ยวข้องกัน เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น จึงควรมีจิตใจพิจารณาทุกสิ่งเป็นไปตามความเป็นจริง และ มรรค ผล
พระนิพพานจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะดับทุกข์ในสังสารวัฏได้
บรรณานุกรม
เอกสารใบลาน
สังเวค. วัดธงสัจจะ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน. เส้นจาร อักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลี-ไทยวน จำนวน ๑ ผูก ๔๗ หน้าลาน. สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
หนังสือ
พระอุดรคณาธิการ และจำลองสารพัดนึก. รวบรวมและเรียบเรียง. พจนานุกรมบาลี-ไทย ฉบับนักศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: ร้านเรืองปัญญาท่าพระจันทร์, ๒๕๓๘.
ร้อยเอกหลวงบวรบรรณรักษ์ (นิยม รักไทย). สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: แสงดาว, ๒๕๕๒.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น