๏ พระพุทธศักราชได้ ๕๐๐ ปีมโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๘๖ ปีกุญ พระยาอภัยคามินีศีลาจารย์บริสุทธิ์อยู่ในเมืองหริภุญไชยนคร ย่อมออกไปจำศีลอยู่ในเขาใหญ่ จึงร้อนถึงอาศนนางนาคอยู่มิได้ ก็ขึ้นมาในภูเขาใหญ่นั้น ก็มาพบพระยาอยู่จำศีล เธอก็มาเสพเมถุนด้วยนางนาค ๆ อยู่ได้เจ็ดวันแล้วจะลาไป พระยาจึงให้ผ้ารัตตกัมพลแลพระธำมรงค์ไปแก่นางนาคให้ชมต่างพระองค์ นางนาคก็กลับลงไปพระยาก็เข้ามาเมืองดังเก่า แลนางนาคก็มีครรภ์แก่ แลนางนาคก็ว่าลูกตูนี้มิใช่เปนไข่ แลจะเปนมนุษย์ทีเดียว แลจะคลอดในเมืองนี้มิได้ แล้วจึงขึ้นมาถึงภูเขาที่อาศนแห่งพระยานั้น ก็ประสูตรกุมาร ผ้าแลแหวนนั้นนางก็ไว้แก่ลูกตนแล้วก็หนีลงไปเมืองนาค
๏ แลมีพรานพเนจรคนหนึ่ง ออกไปหาเนื้อในป่า ได้ยินเสียงกุมารร้องไห้ แลพรานเข้าไปก็เห็นกุมาร แล้วพรานก็สัญญาว่าลูกท้าวหลานพระยาแลเห็นตูมากลัวตู แลซัดลูกเสีย พรานจึงเอากุมารนั้นไปให้ภรรยาตนเลี้ยงไว้เปนบุตรบุญธรรม
๏ แลสมเด็จพระเจ้าอภัยคามินีราช ใช้ให้เสนาอำมาตย์สร้างพระมหา ปราสาท จึงให้เกณฑ์เอาชาวบ้านมาถากไม้ตั้งเสาพระมหาปราสาท แลพรานนั้นก็ต้องเกณฑ์มาถากไม้ จึงเอากุมารนั้นเข้ามาไว้ด้วย แลร้อนด้วยรัศมีพระอาทิตย์ พรานนั้นจึงเอากุมารเข้ามาไว้ในร่มพระมหาปราสาท ๆ ก็โอนไปเปนหลายที พระยาเห็นก็หลากพระไทย จึงให้เอาพรานนั้นเข้ามาถามดู แลพรานจะพรางมิได้ก็บอกว่าลูกเขาซัดเสียในป่า แลข้าพเจ้าเอามาเลี้ยงไว้เปนลูก พระยาจึงถามว่ามีอันใดอยู่ด้วยกุมารนั้นบ้าง จึงกราบทูลว่ามีแหวนแลผ้าอยู่ด้วยกัน แลพระยาจึงให้พรานเอามาดูก็รู้ว่าเปนราชบุตรแห่งตน พระองค์จึงให้รางวัลแก่พรานนั้น แล้วพระองค์จึงให้หาชะแม่นมรับเอากุมารนั้นมาเลี้ยงไว้แล้ว พระองค์ให้ชื่อกุมารนั้นว่าเจ้าอรุณราชกุมาร
๏ แล้วยังมีกุมารผู้หนึ่งอันเกิดร่วมชาติมนุษย์ด้วยนางอรรคมเหษีชื่อว่าเจ้า ฤทธิกุมาร เปนน้องเจ้าอรุณราชกุมาร แลเจ้าพี่น้องทั้งสองร่วมใจกัน แลเจ้าอรุณราชกุมาร ได้พุทธทำนายพระพุทธเจ้า เมื่อไปฉันเพนนอกบ้านปัญจมัชฌคามแลพระยาอภัยคามินีมาคิดแต่ในพระไทยว่า เมืองใดจะสมควรแก่ลูกแห่งกูนี้ จึงเห็นแต่เมืองสัชนาไลยยังแต่พระราชธิดา แลพระราชบุตรหามิได้ แลพระยาอภัยคามินีจึงเอาเจ้าอรุณราชกุมารเปนพระยาในเมืองสัชนาไลย ก็ได้นามชื่อพระยาร่วง แลพระองค์จึงให้สร้างพระวิหารทั้ง ๕ ทิศ สร้างพระจำลองไว้แทนพระองค์ ติดพระมหาธาตุแลพระรเบียงสองชั้นแล้วเอาแลงทำเปนค่าย แลเสาโคมรอบพระวิหาร แลพระองค์ก็ให้หาช่างทองมาทุกบ้านทุกเมือง จึงให้เอาทองแดงมาทำเปนลำพระขรรค์ยาว ๘๘ ศอกกึ่ง ต้น ๕ ศอกกึ่ง ปลาย ๓ ศอก แลแก้วใส่ยอด ๑๕ ใบ แลบัลลังก์แท่นรองยอดใหญ่ ๙ กำ ตระกูลทองดี ๑๐ ชั้นแลหุ้มทองแดง ขลิบขนุนลงมาถึงตีนคูหา แลสร้างอุโบสถให้เปนทานแก่พระสงฆเจ้า แลให้สร้างที่ต้นรังพระธาตุเปนวิหารแลพระเจดีย์ จึงให้ชื่อว่าวัดเขารังแร้ง แลพระเจ้าอรุณราชคือพระยาร่วงนั้น แลท้าวพระยาประเทศเมืองใด ๆ จะทนทานอานุภาพพระองค์ก็หามิได้ มาถวายบังคมทั่วสกลชมพูทวีป เพราะพระองค์ต้องพุทธทำนายพระพุทธเจ้า แลอายุพระองค์เจ้าได้ ๕๐ ปี พอคำรบพระพุทธศักราชได้ ๑๐๐๐ ปี จุลศักราช ๑๑๙ ปีมโรงนพศก จึงคนอันเปนใหญ่กว่าทั้งหลายนำเอาช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูมาถวายแก่พระองค์ ด้วยบุญที่พระองค์ทำหุ่นช้างใส่ดอกไม้ ถวายแก่พระพุทธเจ้าแต่ชาติก่อน แลเมื่อพระองค์จะลบศักราชพระพุทธเจ้า จึงให้นิมนต์พระอชิตเถร แลพระอุปคุตเถร แลพระมหาเถรไลยลายคือพราหมณ์ เปนเชื้อมาแต่พระรามเทพ แลพระอรหันต์เจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ทั้งพระพุทธโฆษาจารย์วัดรังแร้ง แลชุมนุมพระสงฆเจ้าทั้งหลาย ณวัดโคกสิงคาราม กลางเมืองสัชนาไลย แลท้าวพระยาในชมพูทวีปคือไทยแลลาวมอญจีนพม่าลังกาพราหมณ์เทศเพศต่าง พระองค์เจ้าให้ทำหนังสือไทยเฉียงมอญพม่าไทยแลขอมเฉียงขอมมีมาแต่นั้น
๏ พระยาร่วงมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าฤทธิกุมาร ว่าพระยา กรุงจีนเหตุใดจึงมิมาช่วยลบศักราช มาเราพี่น้องจะไปเอาพระยา กรุงจีนมาเปนข้าเราให้ได้ ครั้นพระยาทั้งสองพี่น้องคิดด้วยกันแล้ว จึงบังคับอำมาตย์ทั้งหลาย ให้แต่งเรือลำหนึ่งยาวแปดวาปากกว้างสี่ศอก ครั้นได้ฤกษ์วันอาทิตย์เสด็จออกไปด้วยกำลังน้ำ แลอันเปนชาติแห่งนางช้างวลาหกเทวบุตร แลนอกนั้นเทวบุตรไปด้วย พระองค์ทั้งสองมีแต่พระขรรค์ธนูศิลป์ ทั้งพระภูมิ์แลพระพายเจ้าก็พัดพาไป แลนางเมขลาเจ้าสมุทก็ยินดีรักษามิให้เปนอันตรายแลไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงกรุง จีน แลวันเมื่อไปถึงนั้นบังเกิดเปนอัศจรรย์ให้เปนหมอกตกมิให้เห็นพระจันทร์พระ อาทิตย์ แลจีนทั้งหลายให้ขนลุกหนังหัวพองทั้งเมือง สท้านสเทือนหวั่นไหวนักหนา แลพระยากรุงจีนจึงให้หาเสนาอำมาตย์มาชุมนุมในท้องพระโรง แลพิพากษาด้วยกันแล้ว จึงใช้ให้ขุนแก้วการจีนพิจารณาดูในท้องมหาสมุท แลขุนแก้วการจีนไปข้างใต้ข้างเหนือ มิได้เห็นสำเภาลำใดลำหนึ่งในท้องทเลมิได้ แลเห็นแต่เรือน้อยลำหนึ่ง มีไทยสองคนขี่ลอยมา แลขุนแก้วการจีนได้เห็นแล้ว จึงกลับไปทูลพระเจ้ากรุงจีน ๆ ก็รู้ในพระไทยแห่งพระองค์ด้วยมีพระพุทธทำนายไว้แต่ก่อนอยู่ในเมืองแห่งกู ว่ามีไทยสองคนพี่น้องจะข้ามทเลมาแสวงหาเมีย แลชายผู้หนึ่งจะเปนเจ้าแก่ชาวชมพูทวีป แลจะลบศักราชพระพุทธเจ้า แล้วแลมาถึงกูนี้เที่ยงแท้แล้ว ครั้นพระยากรุงจีนรู้ในพระไทยแล้ว จึงใช้พลจีนออกมารับพระองค์ขึ้นมาถึงเรือนหลวงแล้ว จึงให้นั่งบนแท่นแก้ว แลพระยากรุงจีนจึงถวายบังคมแล้วจึงชวนเจรจาแลพระยาร่วงก็ทรงภาษาได้ทุก ประการ แลพระเจ้ากรุงจีน จึงนำเอาพระราชธิดามาถวายให้เปนพระอรรคมเหษี ด้วยเหตุว่านางนั้นได้ทำบุญไว้ด้วยพระองค์แต่ชาติก่อนมา ได้สร้างพระไตรปิฎกทั้งสามไว้ในพระพุทธสาสนาพระพุทธเจ้ากกุสนธ์ แลเมื่อพระพุทธเจ้าเราไปนั่งฉันจันหันในบ้านปัญจมัชฌคาม เปนนาคให้น้ำเปนทานแก่พระพุทธเจ้าเรา ๆ ก็ทำนายไว้ว่า นาคนี้จะได้ลบศักราชพระตถาคตเมื่อถ้วน ๑๐๐๐ ปี ได้แก่พระยาร่วงเจ้านี้ แลพระยา กรุงจีนก็รู้ทุกประการ จึงตามพระไทยพระยาร่วงทุกประการ อันจะขัดนั้นมิได้ จึงให้นางราชกัลยาณีแก่พระองค์เจ้า แลพระยากรุงจีนใช้ให้อำมาตย์แต่งสำเภาเภตราลำหนึ่งกับเครื่องบรรณาการ แลพระยา กรุงจีนจึงผ่าตรามังกรออกเปนสองภาค แลข้างหางให้มาแก่พระราชธิดา ถ้าแลเมื่อน่าไปจะมีราชสาสนถึงกันแล้ว ให้เอาตราประกับกันดู ถ้าแลเปนดวงเดียวกัน จึงสันทัดว่าราชสาสนพระราชธิดา พระเจ้าร่วงจึงมาสู่สำเภากับด้วยนางพสุจเทวี แลเจ้าฤทธิราชกุมาร แลฝูงจีนทั้งหลาย๕๐๐เปนบริวารใช้สำเภาไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงด้วยอานุภาพแห่ง เทพยดา ครั้นถึงเมืองสัชนาไลยแล้ว ขณะนั้นน้ำทเลขึ้นมาถึงเมืองสัชนาไลย จึงใช้สำเภาไปมาหากันได้ พระองค์เสด็จขึ้นถึงเรือนหลวงแห่งพระองค์เจ้าแล้ว แลท้าวพระยาทั้งหลายกราบถวายบังคม แลจีนทั้งหลายก็ทำถ้วยชามถวาย จึงมีเกิดถ้วยชามแต่นั้นมา ท้าวไททั้งสองก็อยู่เย็นเปนศุข ตั้งแต่ทำบุญให้ทานรักษาศีล แลถือความสัจอยู่มิให้พลาดพลั้ง จึงมีตระบะเดชะว่าสิ่งใดก็เปนสิ่งนั้นทุกอัน แลพระองค์ก็จึงให้เอาพสุจกุมารผู้เปนน้อง ตั้งพระราชวังอยู่นอกเมืองแลเจ้าพสุจกุมาร เจ้าฤทธิกุมาร เปนอันรักใคร่กันเปนนักหนามิได้ฉันทาโทษาแก่กัน ไปมาด้วยกัน เข้าไปถวายบังคมด้วยกันมิได้ขาด ในพระราชวัง
๏ แลเมืองพิไชยเชียงใหม่มีแต่พระราชธิดา แลหาพระราชบุตรมิได้ แต่อำมาตย์เมืองพิไชยเชียงใหม่ จึงกราบทูลขอพระราชทานเจ้า ฤทธิกุมารจะให้เสวยราชสมบัติสืบตระกูลมิให้ขาดเสียได้ แลสมเด็จพระอรุณราช จึงพระราชทานเจ้าฤทธิกุมารผู้เปนน้อง เสด็จขึ้นไปด้วยกัน แลให้เจ้าพสุจกุมารอยู่รักษาเมืองกับนางพสุจเทวี พระองค์ทรงช้างเผือกงาดำมีฤทธิยิ่งนักหนากับด้วยอำมาตย์เสนาเสด็จประพา ศตีนพนมใหญ่กึ่งกลางหน แลจึงเจ้าฤทธิกุมารผู้น้องผันหน้าช้างเข้าต่อกันแล้ว พระองค์จึงจับเอาคนทีทองเต็มไปด้วยน้ำทรงอธิษฐานให้เปนแดนแว่นแคว้นแห่งเจ้า แต่วันนี้ไปพระองค์จึงทรงเทน้ำในคนทีทองลงไปเปนสำคัญ แล้วจึงเอาตะปูทองแดงใหญ่ ๓ กำ ๓ วา ๓ ตัว ปักไว้เปนประธาน ครั้นพระองค์ปักแดนไว้ให้แล้ว ก็เสด็จขึ้นถึงเมืองแล้ว นางมลิกาลูกเจ้าเมืองเชียงใหม่มาต้อนรับเสด็จเข้าไปในเรือนหลวงแล้วท้าว พระยาอำมาตย์เสนาทั้งหลาย ก็กราบถวายบังคมแก่พระองค์เจ้าแล้ว
๏ แลขณะนั้น พระอรหันต์เจ้านับได้เปนหลายพระองค์ แลพระมหากระษัตริย์เจ้า จึงให้ไปว่านางมลิกาเทวีผู้นี้เปนไฉน อำมาตย์จึงให้ไปถามพระอรหันต์เจ้า ๆ จึงเล็งด้วยทิพยจักษุรู้แล้ว จึงบอกแก่อำมาตย์ว่า อุบาสิกาเขาได้ให้ทานเข้าบิณฑบาต อันรายไปด้วยดอกมลิแลทานเชื่อเองแล้ว อำมาตย์จึงไปทูลแก่พระองค์ก็ชื่นชมยินดีนักหนา จึงราชาภิเศกเจ้าฤทธิกุมารให้เปนพระยาลือกับด้วยนางมลิกาเทวี เมืองพิไชยเชียงใหม่จึงคิดกระตัญญูแต่นั้นมา แลลาวผู้หญิงจึงสู่ขอเอาผัวเปนจารีตสืบมา แลพระยาร่วงจึงกลับคืนลงมาเมืองพระองค์ดังเก่า
๏ แลพระยาร่วงขณะนั้นคะนองนัก มักเล่นเบี้ยแลเล่นว่าว ไม่ถือตัวว่าเปนท้าวเปนพระยา เสด็จไปไหนก็ไปคนหนึ่งคนเดียว แลพระองค์เจ้าก็รู้ทั้งบังเหลื่อม รู้จักไตรเพททุกประการ ว่าให้ตายก็ตายเอง ว่าให้เปนก็เปนเอง อันหนึ่งขอมผุดขึ้นมาแล้วก็กลายเปนหินแลง แลขอมก็ขึ้นไม่ได้ด้วยวาจาสัจแห่งพระองค์ ๆ ได้ทำบุญแต่ชาติก่อนมา แลเดชะแก้วอุทกประสาทพระยากรุงจีนหากให้มาแก่พระองค์ ๆ จะไปได้ ๗ วันน้ำมิเสวยก็ได้
๏ ในกาลวันหนึ่งพระองค์ก็ทรงว่าวคว้าลงขาดลอยไปถึงเมืองตองอู แลพระยาตองอูนั้นเปนข้าพระร่วงเจ้า แต่ก่อนชื่อนายอู ไปคล้องลิงเผือกให้แล้วจึงเอาบ้านเมือง ด้วยเดชะคล้องลิงเผือกอันเปนทิพย์จึงได้เปนพระยานั้น แลว่าวพระยาร่วงเจ้าขาดลอยไปตกอยู่บนปราสาทพระยาร่วงเจ้าตามไปถึงเมืองตองอู แลพระยาร่วงเจ้านั่งอยู่ในบรรณ ศาลานอกเมือง ครั้นค่ำพระองค์ก็ลอบเข้าไปทำชู้ด้วยธิดาพระยาตองอูอยู่ในปราสาทอันแล้วไป ด้วยเหล็กดาดลงมาทุกชั้นแต่เมื่อพระร่วงเจ้าจะ ขึ้นเอาว่าวนั้น พระองค์เจ้าให้พระยาตองอูยืนขึ้น พระองค์ก็เหยียบบ่าพระยาตองอูขึ้นเอาว่าว ครั้นเอื้อมหยิบมิถึงพระหัดถ์ พระองค์ก็เหยียบศีศะขึ้นเอาว่าว ด้วยพระองค์คิดว่าเปนข้ามิได้ถือความ แลพระองค์เอาว่าวได้แล้วพระองค์ก็หนีมา แลลูกสาวจึงบอกแก่พระยาตองอูผู้บิดา ๆ จึงรู้ จึงให้ไปตามเอาตัวพระองค์คืนมา แลสาวไส้พระองค์ออกใส่พานทองไว้ จึงส่งตัวพระองค์มาจากเมือง แลพระองค์ก็ไม่รู้ว่าเขาเอาไส้ไว้ ด้วยกรรมที่พระองค์เปนกา แลพระยาตองอูเปนปลา แลกาลากไส้ออกไว้จะกินก็บมิกิน แต่นั้นมาลาวมักเปนผีกินไส้กินพุงคนทั้งหลาย ครั้นพระร่วงเจ้ามาถึงเมืองสัชนาไลย แลมา ยังพระอรรคมเหษีแลพระสนมทั้งหลาย ถวายบังคมแล้วก็เปลื้องอาภรณ์ออกจากพระองค์ไว้แล้ว แลเจ้าพสุจกุมารก็เข้าไปถวายบังคมจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพสุจกุมาร ว่า กูจะไปอาบน้ำมิเห็นกูมาเจ้าเปนพระยาแทนพี่เถิด แลเจ้าพสุจกุมารก็ไม่รู้แลสำคัญว่า ๆ เล่น ครั้นพระองค์ลงไปอาบน้ำที่กลางแก่งเมืองก็อันตรธานหายไปไม่ปรากฎในพุทธ ศักราช ๑๒๐๐ พระยาร่วงสิ้นทิวงคต จุลศักราช ๑๕๗ ปีชวดสัปตศก
๏ เสนาอำมาตย์ท้าวพระยาทั้งหลาย ก็ร้องไห้ร่ำไรไปมา ทั้งพระสนมชาวแม่ทั้งหลายเปนทุกข์นักหนาแลเจ้าพสุจกุมารจึงให้ราชทูตถือ ข่าวสาสนขึ้นไปทูลพระยาลือกุมารราชนครเมืองพิไชยเชียงใหม่ผู้เปนน้องพระองค์ พระยาลือรู้แล้วจึงลงมาราชาภิเศกเจ้าพสุจกุมารให้เปนพระยาในเมืองสัชนาไลย แล้ว ครั้นพระร่วงเจ้าทิวงคตวันหนึ่งแล้ว ช้างอันเกิดร่วมชาตินั้นก็ตายคนละวัน แลพระยาลือกุมารขึ้นไปเมืองพิไชยเชียงใหม่ดังเก่า
๏ แลมีเสนาคนหนึ่งชื่อไตรภพนารถ คิดอ่านราชการณรงค์สงครามรอบคอบนัก จึงทูลแก่พระยาพสุจราชว่า เมืองเรานี้พระเจ้าข้าหาผู้มีบุญมิได้แล้ว แลอันตรายจะบังเกิดมีไปเมื่อภายน่า ขอพระองค์ให้แต่งกำแพงแลหอรบไว้ให้มั่นคง แล้วจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งขุนไตรภพนารถรับพระราชโองการตรัสสั่งแล้ว จึงให้หาเสนาอำมาตย์ซ้ายขวา แลตำรวจนอกในไพร่พลโยธาทั้งหลาย ให้ย่อกำแพงเข้าไปเปนป้อมให้รอบเมือง แลให้ย่อชาลาถมไว้ แลที่ถมนั้นให้ไว้ปืนใหญ่ทุกแห่งทุกตำบล แลค่ายชั้นในแลค่ายชั้นนอก แลตั้งค่ายเชิงเรียงพนมแห่งหนึ่ง พนมหัวช้างแห่งหนึ่ง พนมบ่อนเบี้ยแห่งหนึ่ง แลให้แต่งพระนครราชธานี แล้วตั้งป้อมแลช่องปืนใหญ่ แล้วให้ตกแต่งหัวเมืองเอก ๕ หัวเมือง เมืองโท ๘ หัวเมือง แต่งสรรพยุทธทั้งปวงไว้สำหรับต่อสู้ข้าศึก แล้วให้แต่งคนเร็วม้าใช้แล่นหากัน จงฉับพลันทุกน่าด้าน
๏ แล้วให้กำหนดกฎหมายไว้ทุกน่าด้าน แล้วให้กำหนดกฎหมายไปถึงเมืองกัมโพชนคร ให้กำหนดกฏหมายสืบ ๆ กันไปถึงเมืองคิรี เมืองสวางคบุรี เมืองยางคิรี นครคิรี เมืองขอนคิรี แลเมืองเหล็ก เมืองสิงเทา เมืองทั้งนี้ขึ้นแก่เมืองกัมโพชนคร ท้าวพระยาตกแต่งบ้านเมืองทุกแห่ง แลเมืองพิบูลย์นคร อันขึ้นแก่เมืองหริภุญไชยคือเมืองลำพูนทุกวันนี้ แลเมือง ๘ หัวเมืองนั้น ให้แต่งเครื่องสาตราวุธแลตรวจด่านทาง ให้แต่งคนเร็วม้าใช้ไปฟังข่าวแก่กันให้เปนอันหนึ่งอันเดียวทุกเมือง แลเจ้าพสุจราช ให้พาพานิชพ่อค้าสำเภาลำหนึ่ง ให้ถือราชสาสนไปถึงเมืองกรุงจีน ถึงพระเจ้ากรุงจีนผู้เปนตา ทูลขอช่างหล่อปืน ๑๐ คน แลพระเจ้าตาก็ให้มาตามพระเจ้าหลานทูลขอ มาได้ ๗ เดือนก็ถึงเมืองสัชนาไลย เจ้าพสุจราชจึงให้ช่างหล่อปืนใหญ่ ๑๒๐ บอก ปืนนกสับ ๕๐๐ บอก จึงมีช่างหล่อสำริดถมปัดแต่นั้นมาพระองค์จึงให้ตั้งคนทั้งหลายรักษาไว้ตาม ช่องทั้งดินแลลูกเปนอันมาก ลูกนั้นให้เอาดินปั้นเผาเปนเฉลียงให้เปนลูกปืน เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
๏ ครั้นถึงเดือนอ้ายขึ้นค่ำหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก พระเจ้าเชียงแสน ให้เสนาอำมาตย์แลมหาอุปราชตรวจจัดรี้พลโยธาช้างม้าเครื่องสาตราวุธทุกท้าว พระยา ปืนหอกดาบโล่ห์ธนูน่าไม้ เกราะเหล็กเกราะเขา แล้วจึงตั้งพระยาเชียงราย พระยาเชียงลือเปนแม่ทัพน่า ตั้งพระยาเชียงเงิน พระยาเชียงตุงเปนปีกขวา ตั้งพระยาเชียงน่าน พระยาเชียงฝางเปนปีกซ้าย
๏ เจ้าพสุจราชจึงให้อุปทูตขึ้นไปฟังข่าวได้รู้อาการทั้งปวงแล้ว จึงกลับมาทูลแก่พระยาพสุจราช ๆ จึงให้กฎหมายไปแก่พระยาพิไชยเชียงใหม่ อันเปนพระญาติแห่งพระองค์แล้ว พระยาลือธิราชถึงทิวงคต ยังแต่บุตรชายผู้เปนหลานแห่งพระองค์ ชื่อพระพรหมวิธี จึงให้ขับพลเมืองนคร เมืองแพร่ เมืองน่าน เข้าเมืองเชียงใหม่สิ้นเชิง ท้าวพรหมวิธีจึงให้ทหารอาสานั่งด่านทาง ให้รู้ว่าถึงตำบลใด พระยาพสุจราช จึงให้ขับครัวเข้าเมืองสัชนาไลยสิ้นเชิง แต่ครัวชายฉกรรจ์นั้น ให้อยู่ตั้งรบถอยหลังเข้ามาหาค่าย พระยาศรีธรรมไตรปิฎกจึงให้ขับพลเข้าในเมืองสัชนาไลย ให้ตั้งค่ายหลวงใกล้เมืองสัชนาไลย ทาง ๕๐ เส้น จึงให้พลทหารโยธาล้อมเมืองสัชนาไลยเข้าไว้ จะเข้ามิได้ด้วยข้างในปืนใหญ่ปืนน้อยมาก จะเข้าข้างหัวเมืองพลโยธาอาสาสู้ตายลงเปนอันมาก พระยาพสุจราชจึงให้พลโยธาโห่ร้องตีกลองใหญ่ทุกประตู ข้าศึกสท้านสเทือนด้วยเสียงกลองแลปืนใหญ่ อาสาข้างนอกตายเปลือง
๏ พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าวัดเขารังแรงรู้อาการแล้ว จึงชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหลาย ว่าเราทั้งหลายอย่าให้เขาทั้งหลายรบกัน ไพร่พลทั้งปวงจะตายเปนอันมาก ครั้นคิดด้วยกันแล้ว พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจึงไปถวายพระพรแก่สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ๆ ก็ฟังอำนาจพระอรหันต์เจ้า แล้วพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจึงเข้าไปห้ามพระยาพสุจราช ๆ ก็ฟังคำพระอรหันต์เจ้า ด้วยพระยาศรีธรรมไตรปิฎก เปนคู่กันกับนางประทุมเทวี แต่ชาติก่อนให้ทานมิร่วมใจกัน จึงมาเกิดไกลกันจึงให้มารบกัน พระยาพสุจราช รู้แจ้งเพราะพระอรหันต์เจ้าแล้วจึงมายังชาวเจ้าชาวแม่ นางเถ้านางแก่ทั้งหลาย ให้ประดับประดานางประทุมเทวีแล้ว พสุจราชจึงไปถวายบังคม แล้วก็เวนพระราชธิดาให้แก่พระยาศรีธรรมไตรปิฎก ๆ ก็ยินดีนักหนา แล้วอนุญาตแก่กัน แล้วพระยาศรีธรรมไตรปิฎกก็ให้ยกทัพถึงเมืองเชียงแสน แล้วท้าวพระยาก็ต่างคนต่างไปบ้านเมืองตน
๏ พระยาศรีธรรมไตรปิฎกก็ได้พระราชกุมารในสำนักนนางประทุมเทวีสองคน ผู้หนึ่งชื่อเจ้าไกรสรราช ผู้หนึ่งชื่อเจ้าชาติสาคร เจ้ากุมารทั้งสองประกอบด้วยอานุภาพ ทั้งรูปทรงก็งาม ทั้งใจก็เปนกุศล
๏ แต่ชาติก่อนพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเปนภิกษุ ได้สร้างพระไตรปิฎกเมื่อสาสนาพระกกุสนธ์เจ้า ครั้นพระองค์เกิดมาตรัสรู้ในไตรปิฎกทั้งสาม พระองค์จึงรู้ในพระไทยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทางตวันตกตวันออก แล้วเสด็จไปอาไศรยฉันจันหันใต้ต้นสมอ แลควรจะไปสร้างเมืองไว้ในสถานที่นั้น พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกคิดแล้วจึงมีพระราชโองการตรัสสั่ง จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ ให้ทำเปนพ่อค้าเกวียนไปด้วยคนละ ๕๐๐ เล่ม เต็มไปด้วยทุนทรัพย์ทั้งหลาย
๏ จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ รับพระราชโองการแล้วทูลลา พวกพานิชพ่อค้าตามส่งแล้ว จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ จึงมาจากเมืองเชียงแสน มาถึงเมืองน่านแล้วก็มาเมืองลิหล่ม พักพลไหว้พระบาทธาตุพระพุทธเจ้า แล้วจึงข้ามแม่น้ำตรอมตนิม แล้วจึงข้ามแม่น้ำแก้วน้อย แล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ ที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตบ้านพราหมณ์ข้างตวันออก ๑๕๐ เรือน ข้างตวันตก ๑๐๐ เรือนมีเศษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น