๏ ขณะนั้นพระเจ้ากาแต เปนเชื้อมาแต่นเรศร์หงษาวดี ได้มาเสวยราชสมบัติ แล้วมาบุรณวัดโปรดสัตววัดหนึ่ง วัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดใหญ่วัดหนึ่ง สามวัดนี้แล้ว จึงให้มอญน้อยเปนเชื้อมาแต่พระองค์ ออกไปสร้างวัดสนามไชย แล้วมาบุรณวัดพระปาเลไลยในวัดลานมะขวิด แขวงเมืองพันธุมบุรีนั้น ข้าราชการบุรณวัดแล้ว ก็ชวนกันบวชเสียสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี แล้วพระองค์จึงยกนาเปนส่วนสัดวัดไว้ พระองค์อยู่ในศิริราชสมบัติ ๔๐ ปีจึงสวรรคต จุลศักราช ๕๖๕ ขาลเบญจศก
๏ พระยาอู่ทองกับพระเชษฐา แลราชบุตรกับครอบครัวยกลงมาแต่เมืองฉเชียงหลวง มาณเมืองสวรรคเทวโลกลงมายังกรุง ครั้นลงมาถึงที่อันหนึ่ง ครั้นเห็นสงบเงียบอยู่ ก็ยกไปท้ายเมืองฝั่งใต้จึงตั้งที่ประทับพลับพลาอยู่ที่นั้น ราษฎรนั้นนับถือว่าเปนผู้มีบุญ ก็ เข้าประชุมสโมสรพร้อมกัน จึงยกให้เปนเจ้าแผ่นดิน บังคับบัญชาราชการตามประเพณีอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน ครั้นเรียบราบสำเร็จแล้ว จึงยกพระเชษฐาธิราชให้ครองเมืองสุคันธคีรี พระเจ้าท้องลันราชเปนประถมกระษัตริย์สืบมา พระยาสุคันธคีรีเจ้าเมืองเชียงใหม่ จะใคร่หาภรรยาให้แก่บุตรเปนอรรคมเหษี พระยาสุคันธคีรีให้หาโหรามาพิเคราะห์ดูจะอยู่ทิศใด โหรกราบทูลว่าคู่ต่างเมือง มีผู้มาบอกข่าวว่าบุตรพระยาอู่ทองคนหนึ่งงามดังนางสวรรค์ เจ้าไชยทัตจะใคร่ได้เปนพระอรรคมเหษี จึงเอาเพศเปนเถร เจ้าไชยเสนผู้น้องเปนภิกษุไปเพื่อน พากันมาสองคน ครั้นมาถึงราชธานีเข้าแล้วก็อาไศรยอยู่ริมพระราชวัง ฟังดูคนทั้งหลายในเมืองจะพูดจากันเปนประการใด ก็ลาเพศเปนเถรแล้ว ก็ปลอมเข้าไปในวัง จะเข้าวังนั้นมิได้ เห็นแต่ต้นพิกุลอยู่ริมกำแพงวัง ก็ปีนข้ามกำแพงวังเข้าไป กำบังกายมิให้คนเห็นเจ้าจึงเข้าไปหานาง ๆ จึงถามว่าท่านนี้เปนบุตรผู้ใด พระองค์จึงบอกว่าเรานี้เปนบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ พี่จะใคร่ได้นางเปนอรรคมเหษี แต่ไปมาหากันจนมีครรภ์แก่ พระยาอู่ทองพิจารณาดูเห็นผิดประหลาดอยู่ ครั้นจะว่ากลัวลูกจะน้อยใจ พระทวารถึงเจ็ดชั้นยังเข้ามาได้ผิดประหลาดนัก เห็นอยู่แต่ท่อน้ำ ทรงพระดำริห์ฉนั้นแล้ว ก็สั่งให้ทำลอบเหล็กใบหนึ่ง ดักไว้ที่ท่อน้ำ เจ้าไชยทัตหาทันรู้ไม่ เคยประดาน้ำเข้าไปก็ติดลอบตาย พระยาอู่ทองใช้คนไปดู เห็นเจ้าไชยทัตตายอยู่ จึงว่าทำผิดคิดมิชอบเข้าลอบตายเอง จึงให้เอาศพนั้นมาเห็นรูปงามนักหนา จะเปนเชื้อกระษัตริย์องค์ใดเสียดายนัก จึงทรงดำริห์ว่าจะมาแต่ผู้เดียวฤๅ ก็ให้เที่ยวหาดู ครั้นมาพบน้องชายเข้าที่วัดรามวาศ เอาตัวมาถึงวังก็รู้ว่าเปนบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ จึงให้ลาผนวชออกแล้ว ก็ราชาภิเศกกับพระราชบุตรี
๏ พระยาอู่ทองตรัสแก่เสนาบดีว่า พระตำหนักเวียงเหล็ก ให้หาที่ไชยภูมิจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้อำมาตย์ข้ามไปฝั่ง ที่ฝั่งเกาะตรงวังข้ามเกณฑ์ไพร่ถางแผ้ว พอพบพระฤๅษีองค์หนึ่งอยู่ในดงโสนริมหนองน้ำ ทรงนามชื่อสักธรรมโคดม ๆ จึงถามคนถางว่าจะทำเปนประการใด ในแว่นแคว้นของเราฉนี้ คนแผ้วถางจึงบอกว่า พระมหากระษัตริย์จะสร้างเมืองใหม่ พระฤๅษีจึงว่าเรามาอยู่สถานที่นี้ก็นานมาแล้ว แต่พระพุทธเจ้ายังสร้างพระบารมีอยู่จนได้ตรัสได้ ๙๑๗ ปี แล้ว จะมาสร้างเมืองดีอยู่แล้ว เราก็จะลาไปอยู่เขาแก้วบรรพต แต่ที่อันนี้เปนที่กองกูณฑ์อัคคี หาเปนที่ไชยภูมิไม่ ให้ไปข้างทิศหรดีเปนที่ไชยภูมิดี มีต้นหมันเปนสำคัญอยู่ต้นหนึ่ง จึงให้อำมาตย์ไปเที่ยวดูได้เห็นเปนแน่ ก็นำเอาเหตุทั้งนี้มากราบบังคมทูล ทรงทราบจึงให้หาเสนาพฤฒามาตย์มาสโมสรพากันไปหาพระดาบศ ว่ามหากระษัตราธิราชเจ้าให้อาราธนาเข้าไปในพระราชวัง พระดาบศเธอจึงตอบว่าเรายังหาเข้าไปไม่ ท่านจงจัดให้คนไปตัดไม้มากองกูณฑ์อัคคีดูให้รู้เหตุ จึงอำมาตย์เสนาบดีทั้งหลายทั้งปวงก็ใช้ให้คนไปตัดไม้มา ตามคำพระดาบศสั่งทุกประการ แล้วพระดาบศจึงให้จุดเพลิงเผาไม้ฟืน ซึ่งกองไว้นั้นรุ่งโรจน์ เปลวเพลิงสูงเท่าต้นตาล รัศมีสว่างรุ่งเรืองไปทั่วประเทศ ครั้นเพลิงสงบเปนปรกติค่อยบันเทาลงแล้ว พระดาบศก็เอาน้ำพระวิศณุมนต์มาประพรมกองกูณฑ์อัคคีแล้ว พระดาบศจึงว่าแก่เสนา บดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า จะมีกระษัตริย์ไปภายน่านั้นเปนอันมากจะเปนเมืองท่าสำเภา แต่ทว่าจะเกิดยุทธนาการไม่รู้วาย ครั้นว่าเท่าดังนั้นแล้ว จึงให้อำมาตย์เสนาบดีผู้ใหญ่ กลับมากราบทูลพระมหากระษัตริย์เถิด เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ชวนกันไปกราบทูลประพฤดิเหตุ ซึ่งได้เห็นนั้นสิ้นทุกประการ ครั้นเพลารุ่งเช้าจึงให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ออกไปอาราธนาพระดาบศเข้ามาใน พระราชวัง อำมาตย์เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ไปพร้อมกันตามรับสั่ง ครั้นถึงที่นั้นหาพบพระดาบศไม่ จึงให้คนเที่ยวค้นหาไปทุกแห่งทุกตำบลก็หาพบไม่ จึงสั่งให้เสนาบดีผู้ใหญ่ไปแผ้วถางให้ราบรื่นเปนอันดี
(ต่อนี้เปนเรื่องท้าวอู่ทอง แลมีเรื่องเจ้าไชยทัตไชยเสน ความซ้ำกับข้างต้น)
๏ แลในเมืองพระยาแกรกมาอยู่ ครั้นสิ้นบุญพระยาแกรกแล้ว ก็ถอยลงมาถึงสามชั่วพระยาแล้ว ยังแต่ผู้หญิงอันสืบตระกูล แลเศรษฐีทั้งสอง คือ โชดกเศรษฐี แลกาลเศรษฐี ๆ ทั้งสองคนนี้คิดอ่านด้วยกันแล้ว จึงเอาเจ้าอู่ทองลูกโชดกเศรษฐีประสมด้วยกันกับพระราชธิดาให้ครองเมืองนั้น ได้เจ็ดปี ห่าลงเมือง โคกระบือช้างม้าตาย แลคนทั้งหลายก็ตายพิปริตหนักหนา อำมาตย์จึงทูลแก่ท้าวอู่ทองว่าไพร่พลเมืองตายเปนอันมาก พระองค์จึงให้ยกพลช้างม้าออกจากพระนครเมื่อเที่ยงคืน ว่าสถานที่ใดสบายเราจะไปสร้างเมืองอยู่ในที่นั้น แลไปข้างฝ่ายทักษิณได้ ๑๕ วัน จึงถึงแม่น้ำอันหนึ่ง แลเห็นเกาะอันหนึ่งเปนปริมณฑลงามแลจะข้ามมิได้ จึงให้ตั้งทัพตามริมน้ำ ทั้งไพร่พลทั้งหลาย ตรัสสั่งอำมาตย์ให้ไปตัดเรือจะข้ามน้ำเข้าหาเกาะ ครั้นได้เรือแล้ว เสนาอำมาตย์ไพร่พลช้างม้าข้ามมาหาเกาะแล้ว จึงบุกป่าโสนเข้าไปกลางเกาะ เห็นดาบศตนหนึ่งอยู่ในใต้ต้นไม้ พระยาก็ตรัสปราไสด้วยดาบศ แลพระยาจึงถามว่าเจ้ากูมาอยู่ที่นี้ ช้านานแลฤๅ ๆ พึ่งจะมาอยู่ พระดาบศจึงบอกว่าเรามาอยู่ที่นี้ แต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรมานมีพระชนม์อยู่ อายุเราได้ ๑๕๐ ปีแล้ว แลบาจารย์ เราสองคน คนหนึ่งไปตายในเขาสรรพลึงค์ คนหนึ่งไปตายในพนมภูผาหลวง ยังแต่เราผู้เดียวนี้แล เมื่อพระพุทธเจ้ามาถึงนี่ เราได้นิมนต์ให้นั่งบนตอตะเคียน อันลอยมาค้างอยู่ในที่นี่ เราก็ถวายมะขามป้อมสมอแก่พระพุทธเจ้า ๆ จึงแย้มพระโอษฐ พระอานนท์จึงทูลถามพระพุทธเจ้า ๆ จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า ฐานที่นี้จะเปนเมืองอันหนึ่ง แต่เรามาหกโยชน์ เขาก็เรียกว่าศรีอโยทธยา พระพุทธเจ้ามีพระบัณฑูรไว้ดังนี้ ครั้นพระดาบศบอกแล้ว พระยายินดีนักหนา พระยาเสด็จไปเลียบดูที่จะตั้งพระราชวังแลเรือนหลวง แลตั้งกำแพงแลค่ายคูไปรอบเมือง แลแต่งพระราชวังแล้ว พระองค์จึงเสด็จไปสู่เมือง กับด้วยสนมชาวแม่ แพทย์พราหมณาจารย์ทั้งหลายเข้ามาเมือง
๏ แลสมเด็จท้าวอู่ทองเมื่อเข้าไปในเมืองวันนั้น พระดาบศยังเข้าฌานสมาบัติบูชากูณฑ์ใต้ต้นไม้ สถานนอกอาศรม ครั้นพระยาไปพระดาบศก็ออกจากฌานในวันนั้น ครั้นณวันอาทิตย์เดือนอ้ายขึ้นหกค่ำปีมโรงโทศกเพลาเช้า พระดาบศจึงเขียนรูปเมืองด้วยถ่านเพลิง ทิ้งเพลิงขึ้นไปในอากาศตกลงมา แลบลิ้นออกเปนทางสามแพร่ง แสดงให้เปนอุบัติเหตุว่า ผู้ใดเกิดในที่นั้นย่อมมุสาวาท ความจริงน้อยไป แลพระยาอู่ทองได้ยินแล้วก็กำหนดไว้แต่ในใจ แลพระดาบศจึงบอกแก่พระยาอู่ทองว่า เราจะอยู่ด้วยบพิตรมิควรแก่เรา สถานที่นี้เปนของท่านเถิด เราจะลาท่านขึ้นไปรักษาพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าอยู่กว่าจะสิ้นชีวิตรเรา ครั้นพระดาบศว่าแล้วก็เข้าฌานสมบัติ ออกจากฌานแล้วก็ขึ้นไปที่พระพุทธบาทแล้ว ก็เข้านิพพานในที่นั้น
๏ ท้าวอู่ทองก็ครองเมืองศรีอโยทธยาเปนศุข มีพระราชบุตรสามพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าอ้าย องค์หนึ่งชื่อเจ้ายี่ องค์หนึ่งชื่อเจ้าสามจำเริญใหญ่มามีรูปอันงามประกอบด้วยปัญญา แลท้าวพระยาทั้งหลายก็กลัวอานุภาพเธอนักหนา เจ้าอ้ายไปกินเมืองนคร เจ้าน้องยี่ไปกินเมืองตนาว เจ้าน้องสามไปกินเมืองเพ็ชรบุรี
๏ ฝ่ายพระเจ้าอู่ทอง มีพระราชบุตรีอิกองค์หนึ่ง เมื่อจะประสูตรนั้น ท้าวอู่ทองฝันเห็นว่าดอกบัวลอยมา เธอจึงตรัสให้พราหมณ์มาทาย พราหมณ์จึงทายว่า พระองค์เจ้าจะได้บุตรเขยมาต่างเมืองข้างเหนือ พราหมณ์ได้พระราชทานรางวัลแล้ว ก็ออกมาจากพระราชวัง
๏ เจ้าพัตตาสุจราชผู้เปนพระยาวรราช เสวยสมบัติในเมืองสัชนาไลยมีพระราชกุมารสองพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าธรรมไตรโลก พระองค์หนึ่งชื่อบรมไตรโลก แลสมเด็จพระเจ้าพัตตาสุจราช ทรงพระชราภาพนักหนาแล้ว พระชนมายุได้ ๑๖๐ ปีก็ถึงทิวงคต ณวันศุกรเดือนสิบสองขึ้นห้าค่ำปีฉลู ครั้นทำสการศพพระบิดาแล้ว อำมาตย์เสนาทั้งหลายจึงราชาภิเศกเจ้าธรรมไตรโลก เปนพระยาแทนบิดาเปนช้านาน พระองค์เจ้ามาคิดในพระไทยว่า ท่านผู้ใดให้ทานเปนอันพอใจแลรักษาศีลเปนอันมาก แลพระองค์จะใคร่ออกทรงบรรพชาให้ได้ พระองค์จึงออกไปจากเมืองสัชนาไลยได้ ๒ ราตรี ถึงเมืองโอฆบุรีอันเปนเมืองแห่งพระญาติ แลพระยาญาติห้ามมิฟัง จึงออกไปกับพระยาทั้งหลายแห่ห้อมล้อมไปยังท้ายเมือง ตัดพระเกษาโกนเกล้าจึงพระยาญาติทั้งหลายก็เอาพระเกษาใส่ผอบทองบรรจุไว้ แลพระองค์เจ้าก็อุปสมบทพระอุบาฬีเถรเปนพระอุปัชฌาย์ พระคิริมานนท์เปนกรรมวาจา พระสุเมธังกรเปนอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆ์ ๒๐๐ องค์ ทรงผนวช ณวันพฤหัศบดีเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง เพลาเช้า ก็งามนักหนา ประดุจดังภิกษุอันได้ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเจ้าโกรพราช ยังอำมาตย์เสนาชวนกันสร้างอารามถวายแก่พระองค์ตามบทคาถาทั้งแปดบทดังนี้
๏ สมเด็จพระยาสุคนธคีรีเจ้าเมืองพิไชยเชียงใหม่ มีพระราชบุตรสองพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าไชยทัตกุมาร องค์หนึ่งชื่อเจ้าไชยเสนกุมารสองพระองค์เปนพระภิกษุขึ้นไปเรียนพระไตรปิฎก ถึงเมืองภุกามได้สามพรรษาก็จบพระธรรมแล้ว เจ้าจึงไปเรียนไตรเพทข้างไสยสาตรได้จบบริบูรณ์ก็กลับมาเมืองวิเท่ห์ รื้อมาเมืองหงษา แลมาอาไศรยอยู่อารามแห่งหนึ่งจะใคร่ลองคุณความรู้อันตนได้เรียนมา แลพี่น้องทั้งสองชวนกันขึ้นไปถึงบนปราสาทพระยาแล้ว ฉวยอุ้มเอาพระราชธิดาลงมาจากปราสาทมาถึงวัดเวลาเที่ยงคืนหาผู้ใดจะรู้มิได้แลพี่น้องทั้งสองยินดีนักหนา แต่อุ้มไปอุ้มมาได้สามวันแล้ว เจ้ากูก็เอาทวะดึงษาการมาเปนกรรมฐานปลงปัญญาญาณว่ารูปผี ครั้นเวลากลางคืนพระเจ้าหงษาย่อมมาดูลูกสาวตนมิเห็นลูกสาวตนในกลางคืนนั้นก็ คิดหลากพระไทย จึงเอาพรรณผักกาดใส่ผมไว้ ครั้นพรรณผักกาดตกลงก็งอกถึงกุฎี แลพระยาจึงให้อำมาตย์ไปกุมเอาตัวเจ้ากูทั้งสององค์นั้นมา พระยาจะให้เอาไปฆ่าเสีย เจ้ากูจึงว่ามหาบพิตรอย่าเพ่อฆ่าเรา ๆ จะลองวิชาคุณอันเราได้เรียนมานั้นให้ท่านดูก่อน จึงให้คนตักน้ำใส่ขันอันใหญ่มาแล้ว เจ้ากูองค์หนึ่งเปนนกยาง องค์หนึ่งเปนปลาว่ายอยู่ในขันนั้น แลนกยางจึงคาบเอาปลาพาบินไป พระยาหงษาเห็นหลาก จึงให้คนตามไปดูมิได้เห็นบาตรแลจีวรในกุฎี แลเจ้ากูทั้งสองก็เข้าไปถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว แลพระบิดามารดาก็ยินดีนักหนา แลพระยาสุคนธคีรีจะใคร่ได้เจ้าไชยทัตมาเปนพระยาแทนพระองค์ๆ จึงให้ประจุออกจากสมณะแล้วแต่ว่ามิพอใจผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง แลพระเจ้าสุคนธคีรีให้หาโหรมาทายดูจึงรู้ว่าคู่พระองค์เจ้าอยู่ต่างเมือง แลเขาก็เล่าฦๅว่าลูกสาวพระยาอู่ทองมีผู้หนึ่งงามดังนางฟ้า เจ้าไชยทัตจะใคร่ได้เปนอรรคมเหษี แลเอาเพศเปนสามเณร กับเจ้าไชยเสนผู้น้องอันเปนเจ้าพระภิกษุเปนเพื่อนกันมาถึงเมืองศรีอยุทธยา ราชธานี มาอยู่อาไศรยในวัดใกล้พระราชวัง ฟังกิติศัพท์คนทั้งปลายเล่าฦๅแก่กัน ครั้นรู้ตระหนักแล้วเจ้าก็ลาเพศออกจากสามเณร แล้วซ่อนกำบังกายเข้าไปในพระราชวังเข้ามิได้ จึงเห็นต้นพิกุลต้นหนึ่งอยู่ใกล้กำแพงวัง เจ้าจึงขึ้นข้ามเข้าไปได้ จึงให้นิทราไว้มิให้ผู้ใดรู้ แลเจ้าจึงเข้าไปหานางได้แล้ว นางถามว่าท่านนี้เปนบุตรผู้ใด จึงบอกว่าเรานี้เปนบุตรเจ้าเชียงใหม่ พี่หาภรรยาที่ชอบใจมิได้ พี่จึงมาหาเจ้า จะใคร่ได้เจ้าไปเปนนางอรรคมเหษีแต่เที่ยวไปหานางทุกวันจนนางทรงครรภ์แก่แล้ว สมเด็จพระเจ้าอู่ทองเห็นลูกดูหลากตาแต่มิออกปากกลัวลูกจะน้อยใจ แล้วคิดว่าพระทวารบานประตูได้ร้อยชั้นยังเข้ามาได้ จะมาในที่ใด ถ้าเว้นไว้แต่ท่อน้ำ ครั้นพระองค์เจ้ารำพึงแล้ว จึงตรัสสั่งคนทั้งหลายให้ทำเปนลอบเหล็กดักไว้ที่ท่อน้ำนั้นครั้นพระเจ้าโกรพราชสร้างอารามถวายแล้ว พระองค์เจ้าตั้งเมตตาปฏิบัติกรรมฐาน แลพระสงฆ์ทั้งหลายให้ชื่ออริยสงฆ์แต่นั้นมา แลพระเจ้าโกรพราชจึงให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกษไว้ จึงให้ชื่อว่าวัดจุฬามณีแต่นั้นมาถึงบัดนี้แล
๏ ฝ่ายเจ้าไชยทัต เคยประดาน้ำเข้าไปทุกวัน ๆ นั้น ก็เข้าลอบเหล็กติดอยู่ช้านานก็ตายในที่นั้น ต้องคำโบราณว่าทำมิชอบเข้าลอบตายเอง พระเจ้าอู่ทองจึงให้คนไปดูก็เห็นคนตายอยู่ จึงเอารูปนั้นมาดูเห็นหลาก เปนบัณฑิตย์รูปงาม แลพระองค์จึงเสียดายพระองค์คิดว่าจะมาแต่ผู้เดียวฤๅ ๆ มีเพื่อน พระองค์จึงให้คนค้นหา จึงได้พบน้องชายอยู่อาราม ก็ให้คุมเอาตัวมาในพระราชวัง จึงให้ถามดูรู้ว่าบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ แลพระราชเทวีอันทรงครรภ์แก่ก็ทรงพระกรรแสงไห้รักสามี ว่ากูจะเปนม่าย แลลูกจะหาพ่อมิได้ จะอายแก่ไพร่พลทั้งหลาย เขาจะทายประมาณครรภ์ เห็นหน้าพระเจ้าอาว์ดุจดังเห็นหน้าผัวอันตาย พระเจ้าอู่ทองจึงให้เจ้าไชยเสนอันเปนภิกษุนั้นลาพระผนวชแล้ว จึงราชาภิเศกให้เปนพระยา
๏ แลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองตรัสใช้คนทั้งหลาย ให้ไปเอาคนปล้ำพนันเมืองทั้งคู่ แลรูปพระยาแกรกนั้น มาแต่เมืองอินทปัตนคร มาไว้ในเมืองศรีอยุทธยา พระเจ้าอู่ทองมีพระชนมายุได้ ๑๐๐ ปีเศษ ก็ทิวงคตณวันศุกรเดือน ๘ ขึ้นหกค่ำปีฉลูฉศกพุทธศักราชได้ ๑๖๐๐ ปี
๏ เจ้าไชยเสนได้เปนพระยา ในเมืองศรีอยุทธยาราชธานี ทำบุญให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนา ช้านานได้ ๒๗ ปี แลพระราชกุมารจึงมีไวยอันเจริญใหญ่มา แลพระเจ้าไชยเสนผู้เปนอาว์ จึงราชาภิเศกเจ้าสุวรรณกุมารเปนพระยาแทนพระองค์แล้ว พระองค์เสด็จไปด้วยราชเทวี แลฝูงนางเปนบริวาร ช้างม้าเปนอันมาก ถึงเมืองพิไชยเชียงใหม่ แลพระญาติก็ชื่นชมนักหนา แลพระเจ้าสุคนธคีรีจึงราชาภิเศกเจ้าไชยเสน ให้เปนพระยาแทนพระองค์เจ้า สมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา คิดถึงคุณพระบิดาอันมาแต่ไกล แลเกิดพระองค์ ๆ จึงให้ช่างทั้งหลายหล่อพระสำริดรูปหนึ่งน่าตัก ๔ วาแล้วพระองค์ทำบุญให้ทานแก่เจ้ากูโยคาวจรฉลองพระพุทธรูปอุทิศไปแก่พระบิดา แล้ว พระองค์มีพระราชธิดาสองพระองค์ องค์หนึ่งชื่อเจ้ากัลยาเทวี องค์หนึ่งชื่อเจ้าสุนันทาเทวี มีรูปันงามดุจดังนางเทพธิดาอันมีในสวรรค์นั้นแล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น