วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

พงศาวดารเหนือ เรื่อง พระนเรศวรหงษา

       ๏ จุลศักราช ๒๑๕ ปีเถาะเบญจศก พระเจ้าจันทโชติกับเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ขึ้นไปครองเมืองลโว้ ทั้งพระพี่นางทรงพระนามชื่อเจ้าฟ้าแก้วประพาฬขึ้นไปด้วย พระยาจันทโชติ เสวยราชสมบัติได้ ๕ ปี สร้างวัดกุฎีทองถวายพระอาจารย์ พระอรรคมเหษีสร้างวัดคงคาวิหาร

       ๏ ศักราช ๒๒๐ ปีมแมสัมฤทธิศก พระเจ้าอโนรธามังฉ่อเจ้าเมือง สเทิม ปฤกษาเสนาบดีว่าเราจะยกไปตีเมืองลโว้ เดือนสิบสองให้เกณฑ์ช้าง ๓๐๐๐ ม้า ๕๐๐๐ พลแสนหนึ่ง สรรพไปด้วยเครื่องสรรพสาตราเสร็จ ให้พระยาเริงจิตรตองเปนทัพน่า ช้างเครื่องร้อยหนึ่ง ม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง นันทะกะยอซูเปนปีกขวา ช้างร้อยหนึ่งม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง นันทะกะยอทางปีกซ้าย ช้างร้อยหนึ่ง ม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง โปวิจารำทัพหลัง ช้าง ๗๐๐ พลสองหมื่น ครั้นได้พิไชยฤกษ์ วันอังคารเดือนสิบสองขึ้น ๑๓ ค่ำ ยกทัพหลวงออกจากพระนคร มาทางกลาง ๓๙ วันถึงเมืองลโว้นั้น ณวันเดือนอ้ายแรม ๑๓ ค่ำ พระเจ้าอโนรธามังฉ่อ สั่งให้นายทัพนายกองเข้าล้อมเมืองไว้สี่ด้านถึง ๗ วัน หามีผู้ใดออกมารับทัพไม่ พระเจ้าจันทโชติจึงปฤกษาเสนาบดีว่า ทัพมาล้อมครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เสนาบดีจะคิดประการใดดี เสนาบดีก็นิ่งอยู่ หมื่นจะสูกราบทูลว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก คิดจะใคร่เปนไมตรี ด้วยทหารเรายังมิชำนาญศึก พระเจ้าจันทโชติก็เห็นด้วย จึงเข้าไปปฤกษาเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ว่าศึกครั้งนี้ยกมามิรู้ตัว ไพร่บ้านพลเมือง สท้านสเทือนอยู่ เราจะถวายพระพี่นางไปเปนทางพระราชไมตรีเห็นศึกจะอ่อนลง เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ก็เห็นด้วย เสด็จออกสั่งให้เสนาบดีแต่งวอกับนางกำนัลร้อยหนึ่ง วันศุภมงคลฤกษ์ จึงเชิญเจ้าฟ้าแก้วประพาฬขึ้นสู่สีวิกากาญจนอลงกฎ กับข้าสาว ออกไปกับพระราชสาสน ถวายพระพี่นางเปนทางพระราชไมตรี จึงให้เสนามุขมนตรีนำเอาพระเจ้าพี่นางมาถวาย ครั้นถึงค่ายพระเจ้า อโนรธามังฉ่อ เสนาอำมาตย์นำขึ้นเฝ้า ถวายพระราชสาสนทราบแล้วก็ดีพระไทย สั่งให้รับนางมาตำหนักใน ทอดพระเนตรศิริวิลาศงามยิ่งนัก มีควมประดิพัทธในนางยิ่งนัก จึงให้จัดทองสิบชั่ง ช้างร้อย ม้าร้อย ให้เสนาบดีนำกลับลงไปถวายพระเจ้าจันทโชติ แต่นั้นมาเมืองลโว้กับเมืองสเทิม เปนสุวรรณปถพีเดียวกัน พระราช สาสนไปมาหากัน

         ๏ ครั้นณวันพุฒเดือนสามแรมสามค่ำ ยกทัพกลับไปถึงพระนครจึงแต่งการพิธี จึงอภิเศกเจ้าฟ้าแก้วประพาฬ เปนพระอรรคมเหษีเอกทั้งสองพระนครไพศาลสมบูรณ์ทั่วทุกหญิงชาย เจ้าฟ้าแก้วประพาฬทรงพระครรภ์ถ้วนคำรบประสูตรพระราชกุมาร พระราชบิดาเสน่หายิ่งนัก ครั้นจำเริญใหญ่ขึ้น พระราชบิดาให้เอาช่างมาทำลูกขลุบให้พระราชกุมารเล่นเปนนิจจนใหญ่ห้ากำ พระราชบิดาถวายพระนามพระราชกุมารชื่อพระนเรศวร ทุกประเทศธานีเกรงบุญสมภารยิ่งนัก

        ๏ เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ มีพระราชกุมารองค์หนึ่ง ครั้นพระชนม์ได้ ๑๔ ปี ลาพระราชบิดาจะขึ้นไปเยี่ยมเยียนพระเจ้าป้าณเมือง สเทิม พระราชบิดาจัดแจงพลทหารให้แล้วลายกไปถึง พระเจ้า อโนรธามังฉ่อให้รับพระราชนัดดาเข้ามา ก็ชื่นชมโสมนัศ พระกุมารทั้งสองก็รักใคร่กัน

       ๏ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พากันขึ้นไปเล่นบนปราสาท พระเจ้าอโนรธา มังฉ่อเสด็จออกอยู่ที่พระแกล ทอดพระเนตรเห็นเจ้ากุมารทั้งสองขึ้นไปบนปราสาท เห็นพระราชนัดดาเปนสี่กร จึงคิดแต่ในพระไทยว่า อ้ายลูกคนนี้มันจะเอามอญเปนข้ามันเสียหมด ดำริห์ว่าฉนั้นแล้วก็นิ่งอยู่ ครั้นอยู่มาพี่น้องวิวาทกันด้วยขี่ม้าตีคลีที่สนามเล่น พระนเรศวรแพ้พระราชกุมารเปนหลายครั้ง คิดแค้นจะใคร่ฆ่าพระราชกุมารนั้นเสีย พระราชกุมารรู้จึงคิดกันกับพี่เลี้ยงจะหนีไป ให้เกลี้ยกล่อมมอญจะพามาด้วย ครั้นพี่เลี้ยงไปเกลี้ยกล่อมพวกพลก็เข้ามา ครั้นพร้อมเสร็จให้ผูกพลายทองแดงออกเล่นทุกวัน ได้ทีเพลาค่ำประมาณยามเศษยกหนี พวกพลนั้นยกไปก่อนห้าวันหกวัน แล้วทำทีเปนเที่ยวหากิน เพลารุ่งเช้าชาวพระนครพูดจากันแซ่ไปว่า พระราชกุมารหนีไป พาชาวเมืองไปด้วยเปนอันมาก ทราบถึงพระนเรศวร ๆ เอากิจการกราบทูลพระราชบิดาว่า พระราชกุมารพาพลชาวเมืองไป จะขออาสาออกไปจับพระราชบิดาห้ามว่าอย่าไปเลยสู้เขาไม่ได้ พระนเรศวรก็มิฟัง ให้เกณฑ์ทัพ พระนเรศวรทรงช้างต้นพลายตุ่นสูง ๖ ศอกยกตามมาแดนไทยทัน ศักราช ๔๓๑ ปี จะเข้าชนพลายทองแดง ๆ เล็กทานมิได้ถอยมา พระนเรศวรได้ทีจับเอาลูกขลุบเงื้อขึ้น จะทิ้งเอาพระราชกุมาร ๆ ร้องว่าเจ้าพี่เล่นเปนทารกหาควรไม่ พระนเรศวรได้ยินลอายพระไทยก็วางลูกขลุบลงเสีย พอพลายทองแดงได้ต้นพุดทราที่มั่นยันถนัด หันรับช้างพระนเรศวรเปรไป พระราชกุมารบ่ายของ้าวจ้วงฟันเห็นเปนสี่กร พระนเรศวรตกพระไทยพระภักตร์เผือดไปเกี่ยวช้างพระที่นั่ง พระราชกุมารพาพวกพลมาพระนคร (พา) ครอบครัวมาถวายพระราชบิดา แล้วกราบทูลกิจจานุกิจทุกประการ ให้แต่งการสมโภชพระราชกุมาร ขนานนามพระนารายณ์ แต่นั้นมาเมืองสเทิมกับเมือง ลโว้ ขาดทางพระราชไมตรีกันแต่นั้นมา มอญนเรศวรซึ่งได้มานั้นอยู่ที่เมืองบ้าง อยู่บางขามโพชายบ้าง คุ้มเท่าบัดนี้

       ๏ จุลศักราช ๒๔๒ ปีรกาโทศก มหาอำมาตย์ได้ครองราชสมบัติได้ ๑๒ ปีสวรรคต พระนารายน์สร้างวัดปีหนึ่ง ศักราช ๒๔๙ ปี มเมียนพศก พระนเรศวรยกพล ๔๐ แสนมาล้อมกรุง ตั้งค่ายอยู่ตำบลนนตรี ทราบว่าพระนารายน์ได้ครองราชสมบัติ เกรงพระเดช เดชานุภาพเปนอันมาก จึงให้แต่งหนังสือเปนใจความว่าเรายกพยุหแสนยากร จะใคร่สร้างวัดพนันคนละวัด พระน้องเราจะเห็นประการใด ถ้าเราแพ้จะยกกลับ ถ้าพระน้องแพ้เราจะครองเมือง ครั้นแต่งเสร็จแล้วให้สมิงจาโปถือเข้าไปถวาย เสนานำแขกเมืองเข้าเฝ้ากราบทูลทุกประการ จึงตรัสว่าพระเจ้าพี่จะสร้างก็สร้างเถิด คนละมุมเมืองข้างทิศพายัพ เราอยู่ข้างทิศหรดี ไปทูลพระนเรศวร ๆ ก็ สั่งนายทัพนายกองจัดการทำอิฐเปนอันมาก ก่อพระเจดีย์กว้าง ๔ เส้น สูง ๙ เส้น ๑๐ วา พระนารายน์ก่อพระเจดีย์กว้าง ๓ เส้น สูง ๗ เส้น ๔ วา ๒ ศอก พระนเรศวรก่อ ๑๕ วันถึงบัวกลุ่ม ให้นามวัดภูเขาทอง พระนารายน์จะแพ้ คิดเปนกลอุบายทำโครงเอาผ้าขาวดาดพระนเรศวรเห็นดังนั้นคิดกลัวเลิกทัพกลับไป พระนารายน์ให้ก่อจนแล้วให้นามวัดใหญ่ไชยมงคล

        ๏ แล้วพระนารายน์ไปสร้างพระปรางค์เมืองลโว้ ขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองลพบุรี แต่นั้นมาเปนเมืองลูกหลวง พระนารายน์ทรงประชวรลงมา ครั้นถึงพระราชวัง ๓ วันสวรรคต ถวายพระเพลิงที่วัดพระองค์สร้างให้ชื่อวัดนารายน์อิศรา แต่นั้นมาเมืองว่างเปล่าอยู่อำมาตย์ ๙ คนรบฆ่าฟันชิงราชสมบัติกัน โลหิตในเมืองนั้นประดุจหนึ่งท่วมท้องช้าง แต่ทำศึกสิ้น ๒ ปี ศักราชได้ ๓๑๑ ปีมเสงเอกศกพระเจ้าหลวงได้ราชสมบัติเก้าปี จึงกำหนดตั้งพิกัดอากรขนอนตลาดไว้ทุกตำบล จึงสั่งให้ยกวังเปนวัด เรียกว่าวัดเดิมแต่นั้นมา ศักราช ๓๖๐ ปีมแมสัมฤทธิศกลงมาสร้างเมืองใหม่ สร้างตำหนักวังอยู่ท้ายเมือง ไปสร้างวัดโปรดสัตวยังหาแล้วไม่ สวรรคตลงที่นั้น ศักราช ๒๗๓ ปีมแมโทศก ครั้นสิ้นกระษัตริย์หามีผู้ใดจะบำรุงพระพุทธสาสนาแลอาณาประชาราษฎรไม่ พราหมณ์ประโรหิตคิดกันว่า จะเสี่ยงเรือสุพรรณหงษ์เอกไชยกับเครื่องกกุธภัณฑ์ไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น