วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

พงศาวดารเหนือ เรื่อง พระยาแกรก

       ๏ พระมหาพุทธสาครเปนเชื้อมา ได้เสวยราชสมบัติอยู่ริมเกาะหนองโสนจึงเรียกวัดเดิมกัน จึงมีพระมหาเถรไลยลายองค์หนึ่ง เปนเชื้อมาแต่พระรามเทพมาแต่ก่อน ได้พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ๖๕๐ พระองค์ กับทั้งพระศรีมหาโพธิ์สองต้น มาแต่เมืองลังกาสีหฬเธอจึงพาพระมหาสาครไปเมืองสาวัตถี จึงถ่ายเอาอย่างวัดเชตุวนารามมาสร้างไว้ต่อเมืองรอ แขวงบางทานนอกเมืองกำแพงเพ็ชร ชื่อวัดสังฆคณาวาศหนึ่ง แล้วจึงเอาพระศรีมหาโพธิ์ใส่อ่างทองคำมาปลูกไว้ที่ริมหนองนากะเล นอกวัดเสมาปากน้ำ จึงเชิญพระบรมธาตุบรรจุไว้ด้วย ๓๖ พระองค์ จึงให้ชื่อวัดพระศรีมหาโพธิ์ลังกา แล้วจึงบรรจุไว้ในพระเจดีย์บ้าง ในพระพุทธรูปใหญ่บ้าง ในพระปรางบ้างเปนพระบรมธาตุ ๓๖ พระองค์ด้วยกัน แล้วบรรจุไว้ในพระพุทธไสยาศน์วัดป่าโมกนั้น ๓๖ พระองค์ ในพระปาเลไลยนอกเมืองพันธุมบุรีนั้น ๓๖ พระองค์ ในพระปรางค์วัดเดิมกันเมืองหนองโสนนั้น ๓๖ พระองค์ ที่พระพุทธบาท ๓๖ พระองค์ ในถ้ำเขานครสวรรค์ ๓๖ พระองค์ ในถ้ำขุดคะสรรค์ ๓๖ พระองค์ ในเขาหินตั้งเมืองศุโขไทย ๓๖ พระองค์ ในเขาตุ้มแก้ว ๓๖ พระองค์ ในเมืองชองแก้ว ๓๖ พระองค์ ในพระเจดีย์วัดเสนาศน์ ๓๖ พระองค์ ในพระเจดีย์วัดคณะทาราม ๓๐ ในพระมหาธาตุ ๓๐ พระองค์ สามวัดนี้อยู่ในเมืองพิศณุโลก สิ้น ๙๗ ปีสวรรคต ศักราชได้ ๓๓๖ ปี พระยาโคดมได้ครองราชสมบัติอยู่ ณวัดเดิม ๓๐ ปี สวรรคตมีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อพระยาโคตรตะบอง ได้ครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา ทรงอานุภาพยิ่งนัก

       ๏ อยู่มาโหราทำฎีกาถวายทำนายว่า ผู้มีบุญจะมาเกิดในเมืองนี้ พระยาโคตรตะบองจึงสั่งให้จับหญิงมีครรภ์มาฆ่าเสีย ทั่วขอบเขตรทุกแห่ง ครั้นมานานโหรากราบทูลว่าผู้มีบุญเกิดแล้ว พระยาโคตรตะบองสั่งให้ป่าวร้องเอาทารกมาคลอกเสียให้สิ้น แต่ทารกผู้นั้นไฟคลอกไม่พอง ด้วยเทวดารักษาอยู่จึงมิตาย ครั้นเพลาเช้าสมณะไปบิณฑบาต พบทารกเอามาเลี้ยงไว้

       ๏ ครั้นอยู่นานมาราษฎรมาป่าวร้องกันว่า โหรทูลว่าผู้มีบุญจะมาก็ตื่นกันเปนโกลาหลจะไปดูผู้มีบุญ พระยาโคตรตะบองจึงตรัสแก่เสนาบดีว่า ถ้าเดินมาจะสู้ ถ้าเหาะมาจะหนี ชาวเมืองชวนกันไปดูผู้มีบุญ ทารกที่เพลิงคลอกนั้นอยู่วัดโพธิ์ผีไห้อายุได้ ๑๗ ปีก็ถัดไปดูผู้มีบุญ สมเด็จอำมรินทราแปลงตัวลงมาเปนคนชราจูงม้ามาถึงที่ทารกผู้นั้นอยู่ จึงถามทารกว่าจะไปไหน ทารกตอบว่าจะไปดูผู้มีบุญ เจ้าของม้าจึงว่าจะถัดไปเมื่อไรจะถึง ฝากม้าไว้ด้วยเถิดจะมาเล่าให้ฟัง ทารกก็รับเอาม้าไว้ เจ้าของม้าจึงว่าถ้าอยากเข้าเอาเข้าของเราในแฟ้มกินเถิด อนุญาตให้แล้ว เจ้าของม้าก็ไป แต่ทารกคอยนานอยู่แล้วหารู้ว่าตัวเปนผู้มีบุญไม่ จึงเปิดแฟ้มดูเห็นของกินแล้วก็หยิบกินเข้าไป ด้วยเปนเครื่องทิพย์ก็มีกำลังขึ้น จึงเห็นน้ำมันในขวดก็เอาทาตัวเข้า แขนขาที่ไฟคลอกงออยู่นั้นก็เหยียดออกได้หมดหายบาดแผลสิ้น จึงแลเห็นเครื่องกกุธภัณฑ์ ก็คิดในใจว่ากูนี้ผู้มีบุญฤๅ เอาเครื่องกกุธภัณฑ์ใส่เข้าเผ่นขึ้นหลังม้า ม้าก็เหาะมาพอถึงที่พระตำหนัก พระยาโคตรตะบองแลเห็นก็หวาดหวั่นไหวตกใจ จึงหยิบตะบองขว้างไปหาถูกพระองค์ไม่ ไปตกลงเมืองล้านช้างพระยาโคตรตะบองก็หนีไป พระยาแกรกครองราชสมบัติ ชะพ่อพราหมณ์ถวายพระนามชื่อพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ราษฎรเปนศุขยิ่งนัก

        ๏ พระยาโคตรตะบองตามตะบองไปเมืองล้านช้างเจ้าเมืองสัจจนาหะกลัวบุญญาธิการ พระยาโคตรตะบอง จึงยกพระราชบุตรให้เปนอรรคมเหษี เจ้าเมืองสัจจนาหะรำพึงคิดแต่ในพระไทยว่า ที่ไหนคงจะคิดขบถต่อกูเปนมั่นคง จะจับฆ่าเสีย มารำพึงคิดแต่ในใจว่าทำไฉนจะรู้แยบคาย จึงให้ไปหาลูกสาวมา ให้ลอบถามดูว่าจะทำอย่างไรจึงจะตาย นางก็รับคำพระราชบิดาแล้ว ก็กลับมาอ้อนวอนพระราชสามีว่า พระองค์ก็ทรงมหิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศไม่มีผู้ใดจะเสมอทำไมพระองค์จึงจะตาย แต่นางร่ำไรอ้อนวอนเปนหลายครั้ง พระยาโคตรตะบองจึงบอกว่า อันตัวเรานี้มีกำลัง หามีผู้ใดจะอาจเข้ามาทำร้ายเราได้ จะฆ่าด้วยอาวุธอันใดมิได้ตาย ถ้าเอาไม้เสียบทวารหนักจึงจะตาย นางปลอบประโลมถามได้ความดังนั้นแล้ว จึงบอกแก่พระราชบิดา ๆ ได้ฟังดังนั้นดีพระไทยนัก จึงคิดแก่เสนาบดีทำกา จับหลักไว้ที่พระบังคน เอาหอกขัดเข้าไว้ทำสายใย ครั้นพระยาโคตรตะบองเข้าที่พระบังคน อุจาระตกลงไปถูกสายใยเข้า หอกก็ลั่นขึ้นมาสวนทวารเข้าไป พระยาโคตรตะบองมานึกแต่ในใจว่าเสียรู้ด้วยสัตรี จะอยู่ทำไมในเมืองนี้ จะกลับลงไปในแดนเมืองเราเถิดพระองค์ดำริห์ดังนั้นก็หนีไป พอเข้าแดนกรุงพระนครแล้ว ก็ข้ามไปถึงที่นั้นก็สิ้นพระชนม์ลง เสนาบดีกราบทูลพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ว่าพระยาโคตรตะบองมาสิ้นพระชนม์ลงที่ หลังวัด

        ๏ ฝ่ายพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ สั่งให้ทำการศพพระราชทานเพลิงเสีย ที่พระราชทานเพลิงนั้นสถาปนาเปนพระอารามขึ้น ให้นามชื่อวัดศพสวรรค์จนทุกวันนี้

         ๏ พระพุทธศักราช ๑๘๕๐ ปีมโรงสัปตศก พระเจ้าสินธพอำมรินทร์เสวยราชสมบัติได้ ๓ ปี เสด็จออกยังพระที่นั่งสังเขตรปราสาทจัตุรมุขเบื้องบุรพทิศ ณวันอาทิตย์เดือนห้าขึ้นสามค่ำ เปนวันประชุมเจ้า พระยาแลพระยาพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย มารับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัจจาแต่ณวันพุฒแรม ๑๓ ค่ำ ตามเมืองใกล้ไกล

       ๏ ยังมีพระไทยเถรองค์หนึ่งเปนเชื้อมาแต่พระนาคเสน เอาเลข กะหํ ปายา มาถวาย จึงลบพระพุทธศักราช ๑๘๕๗ เปนจุลศักราช ๓๐๖ ปีมโรงฉศก เปนจุลศักราชใหม่สำหรับอาณาจักรจะได้ใช้สืบไปกว่าจะสิ้นพระพุทธสาสนาพระ พุทธเจ้า ๕๐๐๐ พรรษา แล้วพระองค์สร้างวัดวิหารแกลบไว้ เปนหลักพระพุทธสาสนา พระเจ้าสินธพอำมรินทร์เสวยราชสมบัติ ๕๙ ปี พระองค์สวรรคต

(ต่อนี้กล่าวถึงบุพกรรมแห่งพระยาสุทัศนซึ่งครองเมืองอินทปัต แล มีเรื่องพระยาแกรกความซ้ำกันกับที่กล่าวมาแล้ว)

        ๏ ยังมีบุรุษผู้หนึ่งทำบุญให้ทานแลรักษาศีล แลได้สร้างพระเชตุพนถวายแก่พระพุทธเจ้า ทั้งน้ำอาบแลน้ำฉันไม้สีฟันแลน้ำบ้วนพระโอษฐทั้งดอกไม้แลเข้ากระยาคู เข้าบิณฑบาตเปนอาหาร แลใจบุรุษผู้นั้นไม่รู้จักฉันทาโทษาแก่ท่านผู้อื่น ตั้งแต่ให้ทานรักษาศีลมิให้ขาด แต่ในสาสนาพระพุทธกัสสปทศพลเปนเจ้า แลบุรุษผู้นั้นครั้นตายได้ไปเกิดในสวรรค์ แล้วก็มีมาเกิดในสาสนาพระพุทธเจ้าเรานี้ ในตระกูลเศรษฐีมีในบ้านอโรชคาม มีเศรษฐี ๕๐๐ เปนบริวาร ชื่อเจ้าสุทัศนกุมาร จำเริญใหญ่ขึ้นมา แลเศรษฐีผู้บิดาให้มีเรือน จึงร้อนถึง อาศนพระอินทราธิราช แลพระอินทรเจ้าจึงให้พระวิศุกรรม มานฤมิตรเปนปราสาททองมีพื้นได้ ๗ ชั้น ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ทั้งโรงช้างม้าแลเรือนหลวง กำแพงแก้ว ๗ ชั้น สวนอุทยานแลสระโบก ขรณีเต็มไปด้วยบัว ๕ ประการ แลกำแพงเมืองย่อมแล้วด้วยทอง ชื่อว่าเมืองอินทปัตนคร แลเศรษฐีทั้งหลายจึงราชาภิเศกเจ้าสุทัศนเปนกระษัตริย์ แต่พระพุทธเจ้ายังทรมานอยู่โปรดสัตวทั้งหลาย แลเที่ยวมาบิณฑบาตณเมืองนั้น แลยังมีพรรณิพกพิการผู้หนึ่ง ถือกระลาขอทานเขากินในกลางถนนกลางตลาด ก็มาพบพระพุทธเจ้าในหนทางจึงเอาเข้าที่ในกระลานั้นใส่บาตรด้วยมืออันเน่า ห้อยอยู่ แล้วนิ้วมือนั้นขาดลงไปในบาตรพระพุทธเจ้า ครั้นพระพุทธเจ้ามาถึงที่ฉันจันหัน พระพุทธเจ้าก็ยกเอานิ้วมืออันตกลงนั้นออกเสีย จึงฉันจันหัน ครั้นฉันแล้วพระพุทธเจ้าจึงแย้มพระโอษฐ แลพระอานนท์ทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ พรรณิพกพิการอันให้บิณฑบาตเปนทานแก่ตถาคตแล้วจะได้เปนพระยาในเมืองนี้ จะได้ลบศักราชตั้งไสยสาตร ครั้นพระพุทธเจ้าทำนายแล้วเท่านั้น แลพระยาสุทัศนแต่ได้เปนพระยาในเมืองอินทปัตนคร แลมีพระชนมายุได้ ๑๕๐ ปี ก็ทิวงคตเดือน ๖ แรม ๖ ค่ำวัน ๕ ปีมเสงพุทธศักราชได้ ๑๖๐๐ ปี ยังแต่บุตรหลานสืบ ๆ กันมา ปรางคปราสาทอันแล้วไปด้วยทองก็หายสิ้นทุกสิ่งทุกอัน ก็อันตรธานเปนศิลาทุกประการ แลจำเดิมแต่นั้นมา พระยาโคตมเทวราชผู้หลาน ได้เปนพระยาในเมืองนั้น แลชาวบ้านเล่าฦๅว่าผู้มีบุญมาเกิดแล้ว แลบ้านเมืองเราสนุกสบายยิ่งนัก

       ๏ ยังมีบุตรพรรณิพกผู้หนึ่ง เกิดมามีรูปอันลามก หลังขดเอวคดแข้งโกง เปนคนเน่าทั้งตัว เหตุมิได้รักษาศีลแลให้ทานดุจอานนทเศรษฐี แลบุตรพรรรณิพกผู้นั้นคลานเข้าไปจะดูผู้มีบุญ แลสมเด็จพระอินทรเจ้าลงมาแต่สวรรค์ ทำเพศเปนมนุษย์ขี่ม้าข้ามหนทางมา เห็นพรรณิพกนั้นจึงถามว่า ท่านจะคลานไปไหน พรรณิพกจึงขานว่าข้าจะอุส่าห์คลานไปไหว้ท่านผู้มีบุญ แลพระอินทรเจ้าจึงว่าดูกรท่าน เราฝากม้าแลเครื่องทั้งนี้ไว้แก่ท่านบัดเดี๋ยวหนึ่งเถิด พรรณิพกจึงว่าท่านไปอย่าช้า แลพระอินทรเจ้าจึงส่งม้าแลเครื่องทั้งนั้นไว้ให้แล้วจึงสั่งว่าถ้าเรานานมา แลของทั้งนี้เปนของท่านเถิด ครั้นสั่งแล้วพระอินทรเจ้าก็ไปจากที่นั้น พรรณิพกจึงคิดว่าบุรุษผู้นี้เอาม้าแลเครื่องมาฝากเราไว้ จะมีอันใดบ้าง จึงแลดูเห็นขวดน้ำมันยาทิพย์ จึงเอามาทาที่คดคอกก็เหยียดออกดูตรงเปนอันดี แลจึงทาทั้งตัวก็รงับดับหายโทษสิ้น ทั้งตัวก็งามดังทอง จึงคิดใจใหญ่ว่าชรอยตูนี้เปนผู้มีบุญเที่ยงแท้ จึงเปลื้องผ้าเก่าที่ตนนุ่งห่มไปนั้นเสีย จึงทรงเครื่องทิพย์แลมงกุฏพระขรรค์งามดุจดังเทวดา แลพระยาโคตมเทวราชรำพึงว่า ถ้าผู้มีบุญมาในแผ่นดินจะต่อด้วยกัน ถ้ามาในอากาศจะเอาตัวหนีไปอื่น ครั้นพรรณิพกทรงม้าแก้วม้าก็พาเหาะไปในอากาศเวหา ครั้นพระยาโคตมเทวราชแลเห็นผู้มีบุญเหาะมาในอากาศ ก็สดุ้งตกใจกลัวจึงพานางอรรคมเหษีแลบุตรี ทั้งเสนาอำมาตย์ไพร่พลโยธา พลช้างม้าออกจากพระนครในวันนั้นทั้งแปดหมื่น ไปข้างปาจิณทิศได้ ๑๕ วันแล้วแสวงหาที่จะตั้งเมือง แลพระอินทราเจ้าจึงเอาพรรณิพกอันงามนั้นตั้งเปนพระยา ได้ชื่อว่าพระยาแกรก ยกนางอันเปนเผ่าพันธุ์ของพระยาโคตมเทวราชให้เปนนางอรรคมเหษี แลพอจุลศักราชถ้วน ๑๐๐๐ พระอินทรเจ้าเปนประธาน ให้ลบศักราชในเมือง แลมีลูกหลานสืบ ๆ กันมา ถอยจากตระกูลกระษัตริย์แต่นั้นมา

        ๏ แลพระยาโคตมเทวราช เสด็จมาถึงบ้านโกณฑัญญคามพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญพราหมณ์ เปนใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้งหลายได้ ๕๐๐ ครั้นเห็นพระยาแต่ไกล โกณฑัญญพราหมณ์ทั้งหลายก็ไปต้อนรับพระมหากระษัตริย์ ๆ จึงมีพระราชโองการตรัสถามว่า ดูราชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย บ้านท่านนี้ชื่อใด ชีพ่อพราหมณ์ทูลว่าบ้านนี้ชื่อโกณฑัญญคาม แต่ตูข้าเปนชีพ่อพราหมณ์ได้ ๕๐๐ คน จึงมีพระราชโองการว่า เราจะสร้างเมืองในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจะยินดีฤๅไม่ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยินดีด้วยกันทั้งสิ้น พระเจ้าโคตมเทวราช จึงถามพราหมณ์แลเศรษฐีทั้งหลายว่า บ้านนี้เปนโบราณมาฤๅสร้างขึ้นใหม่ เศรษฐีทูลว่าบ้านนี้เปนบ้านโบราณมาได้สองชั่วสามชั่วผู้เถ้าผู้แก่ พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จเข้ามาบิณฑบาตในบ้านนี้พระยาได้ฟังดังนั้นยินดี ให้เสนาอำมาตย์ตั้งพลับพลาทอง แล้วให้ชีพ่อพราหมณ์ผู้เถ้าผู้แก่ กับเศรษฐีประชุมพร้อมกัน จึงให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกินบวชสิ้น แลรำเขนงเจ็ดวันแล้วสระเกล้าขึ้นโล้อัม พวาย ถวายแก่พระอิศวรพระนารายณ์ แล้วไปเลียบที่จะตั้งพระราชวัง ให้พราหมณ์ป่าวเทวดา เป่าสังข์ทั้งสามรอบ แลปักไม้แลเส้นสรวงให้พราหมณ์เสียจรรไร แลจ่ายน่าที่ไว้อำมาตย์เสนาแลคนทั้งหลายขุดคูแลพูนกำแพงถึงเจ็ดเดือน ทั้งพระราชวังแลเมือง ทั้งบ้านเศรษฐีแลบ้านพราหมณ์ เข้าอยู่ในเมืองสิ้น ไพร่พลอยู่ชั้นนอกสามชั้นรอบเมือง พระเจ้าโคตมเทวราช ก็เอาบ้านพราหมณ์เปนเมือง แลโกณฑัญญพราหมณ์มีบริวาร ๕๐๐ โกณฑัญญเศรษฐีมีบริวาร ๕๐๐ สมเด็จพระเจ้าโคตมเทวราชเสด็จอยู่สำราญเปนศุขพุทธสาสนาได้ ๑๖๐๐ ปี จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ท่านจงเคารพผู้เถ้าผู้แก่ทั้งหลาย แลอำมาตย์นั้นหูหนักไม่ได้ยินถนัดได้ยินไปว่าพระมหากระษัตริย์สั่งว่า ท่านทั้งหลายสร้างพลาโอจงทุกคน ๆ เถิด เสนาบดีจึงทูลว่า พระองค์เจ้าสั่งให้ตูข้าพเจ้าสร้าง พลาโอจงทุกคน พระองค์เจ้าจะต้องพระราชประสงค์อันใด จึงมีพระราชโองการว่า เราสั่งให้ท่านทั้งหลายเคารพผู้เถ้าผู้แก่ สั่งสอนเท่านั้นสิว่าให้สร้างพลาโอเล่า แลมีพระโองการตรัสห้ามมิให้เอาเปนอำมาตย์แต่นั้นมา แลพระยาโคตมเทวราช มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อเจ้ากาญจนกุมาร เปนพระยาแทนพระบิดา นานมาจึงชื่อเจ้าไวยยักษา ครั้นใหญ่มาชื่อเจ้าโคตรตะบอง ไปสร้างเมืองพิจิตร จึงมีชื่อพระยาโคตรตะบอง เจ้าไวยยักษาไปสร้างเมืองพิไชย จึงได้ชื่อพระยามือเหล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น