๏ พระยาเชียงทองเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่ายังมีพระอาจารย์พระองค์หนึ่งมาถวายพระพรว่า สมเด็จพระพุทธเจ้ายังทรงพระทรมานอยู่นั้น เสด็จพระราชดำเนินไปสู่ลังกาทวีป เปนเหตุด้วยพระภิกขุสององค์วิวาทกันสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากเมืองลังกา ทวีปมาสู่พระเชตุพนเมืองสาวัตถี จึงตรัสธรรมเทศนาแก่พระอานนท์ว่า สืบไปเมื่อน่าเมืองสาวัตถี จะกลายเปนเมืองหงษาวดี เหตุว่าจะมีกระษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช จะสร้างพระมาลีเจดีย์องค์หนึ่งในกลางพระนคร แลพระมหากระษัตริย์นั้นมีศรัทธายิ่งนักให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ให้คนเข้าสองประตู ออกสองประตู จึงพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชตรัสสั่งชาวพระคลังให้ เอาทองคำมากองไว้ในพระนคร ถ้าคนเข้าไปช่วยทำพระมาลีเจดีย์นั้น ก็ให้รับเอาทองคำตำ ลึงหนึ่งก่อน จึงให้ช่วยทำการ แลทุกวันนี้ยังปรากฎมีอยู่ แลพระมาลีเจดีย์นั้นอยู่ทิศอุดร พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ครั้นแจ้งประพฤดิเหตุแล้ว ก็มีพระไทยยินดีนัก จุลศักราช ๔๑๓ ปีชวดตรีศก จึงมีพระ ราชโองการตรัสสั่งขุนการเวก แลพระยาศรีธรรมราชา ภูดาษราชวัตรเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม ยกรบัตรนายเพลิงกำจายนายชำนององครักษ์ นายหาญใจเพ็ชร์ นายเด็จสงคราม ข้าหลวงแปดนายกับไพร่ ๕๐๐ คุมเอาเครื่องบูชาขึ้นไปถวายพระมาลีเจดีย์ แลข้าหลวงขุนการเวก ยกออกจากกรุงแต่ณวันพฤหัศบดีเดือนอ้ายขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ไปทางสุพรรณบุรีไปถึงบ้านชบา ยกแต่บ้านชบาไปถึงเมืองพระยาเจ็ดตน ยกจากเมืองพระยาเจ็ดตนไปถึงบ้านรังงาม ยกจากบ้านรังงามไปด่านทราง ยกจากด่านทรางไปถึงเจ้าปู่หิน ยกแต่เจ้าปู่หินไปจากแม่น้ำชุมเกรียวนั้น มีพระพุทธไสยาศน์องค์หนึ่งทองสำริดพระองค์ยาวห้าเส้น ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปนมัสการ จึงตั้งสัจจาธิฐานว่า ขอเดชะพระบารมีพระพุทธไสยาศน์ให้ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ไปถึง ได้นมัสการพระมาลีเจดีย์ในเมืองหงษาวดีสำเร็จความปราถนานั้นเถิด ข้าหลวงทั้งปวงกราบถวายบังคมนมัสการก็ลาออกจากแม่น้ำชุมเกรียว ก็ไปถึงเขาฝรั่งยางหิน ไปถึงตำบลเขาหลวง พอสิ้นแดนกรุงศรีอยุทธยา ไปถึงด่านทุ่งเขาหลวงสิ้นเขตรแดนนับได้ ๓๘ วัน ครั้นแล้วจึงตั้งสัจจาธิฐานอิกครั้งหนึ่ง ยกออกจากที่ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวง จึงตั้งนมัสการพระศรีรัตนไตรยแล้วก็ยกไปขาดระยะบ้าน ไม่มีผู้คนเดินเลย บ่ายหน้าต่อทิศอุดร เปนป่าใหญ่เดินไปมาไม่ต้องแดด เปนทุ่งอยู่กลางเปนป่าละเมาะ คนทั้งปวงสิ้นอาหาร กินแต่ผลไม้เปนอาหาร สิ้นหนทาง ๓๐ วัน จึงเข้าเมืองหงษาวดี มีด่านบ้านพราหมณ์รายไปบ้าง ขุนการเวกกับข้า หลวงทั้งปวงเดินต่อ ๆ กันไป สิ้นหนทางนั้น ๓๐ วัน จึงถึงเมือง หงษาวดีนั้น คิดเข้ากันสิ้นทาง ๒ เดือนกับ ๒๑ วัน จึงเข้าเมือง หงษาวดี ขุนการเวกกับพระยาศรีธรรมราชา ข้าหลวงทั้งปวงพากันเข้าไปในพระอาราม พบปะขาวรูปหนึ่ง ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่าอารามนี้ท่านผู้ใดเปนใหญ่ ปะขาวบอกว่าพระสังฆราชา ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง จึงเข้าไปนมัสการพระสังฆราชา ๆ จึงซักไซ้ไต่ถามว่าอุบาสกทั้งปวงนี้มาแต่สถานที่ใดฤๅ ขุนการเวกกราบทูลพระสังฆราชาว่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้ เปนข้าทูลลอองสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา ๆ มีพระกมลหฤไทยเลื่อมไสศรัทธาในพระมาลีเจดีย์ยิ่งนัก จึงตรัสใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้คุมเอาเครื่องสักการบูชาพอสมควร ขึ้นมานมัสการพระมาลีเจดีย์นั้น พระสังฆราชา ปราไสว่า อาตมภาพขออนุโมทนา ด้วยพระราชทรัพย์แห่งพระองค์นั้นเถิด วันนี้ท่านไปอยู่สำนักนิ์ให้สบายก่อนเถิด ต่อพรุ่งนี้จะให้ปะขาวนำไปนมัสการตามความปราถนา
๏ ครั้นรุ่งเช้าพระสังฆราชาให้ปะขาวนำข้าหลวงทั้งปวงเข้าไปในอาราม ทำประทักษิณพระรเบียงนั้นได้รอบหนึ่ง แลพระรเบียงนั้นเปนสี่เหลี่ยมจัตุรัศ ขุนการเวกจึงให้นายน้อยหาญใจเพ็ชร์วัดพระรเบียงข้างหนึ่ง แต่ยาวได้ ๒๐ เส้น ชื่อพระรเบียงยาว ๒ เส้น ๑๐ วา มีพระพุทธรูปรายรอบหล่อด้วยทองสำริดทั้งสิ้น เปนพระพุทธรูปสูง ๑๐ วา เสาพระรเบียงแปดเหลี่ยม แต่ละเหลี่ยมนั้นวัดได้ ๙ ศอก สูงถึงท้องขื่อวัดได้ ๒๐ วา ก่ออิฐกระชับรักแล้วถือปูน หุ้มด้วยทองแดงหนาสามนิ้ว แลที่แปกลอนรแนงรเบียงทำด้วยไม้แก่น พื้นพระรเบียงดาษด้วยดีบุกน่าสิบสองนิ้ว ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง ก็เข้านมัสการในพระรเบียง พอเพลาพลบค่ำก็ชวนกันกลับมาที่อยู่
๏ ครั้นเพลารุ่งเช้าพระสังฆราชาให้ปะขาวนำขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นไปนมัสการพระมาลีเจดีย์ คือองค์พระมาลีเจดียธาตุ ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง ก็เข้าไปถึงตีนบันไดใต้พระมหาธาตุ นายหาญใจเพ็ชร์วัดฐานพระมาลีเจดีย์นั้น ด้านหนึ่งยาว ๓๕ เส้น ๕ วาทั้งสี่ด้านยาว ๑๔๑ เส้น บันไดขึ้นพระมาลีเจดีย์นั้นทำด้วยทองแดงตั้งลงกับอิฐ แม่บันไดรอบใหญ่ ๔ กำกึ่ง ลูกบันไดใหญ่รอบ ๓ กำ ปะขาวขุนการเวก ข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นไปดูประตูพระมหาธาตุนั้นกว้าง ๒ เส้น สูงได้ ๕ เส้น มีหงษ์ทองคำสี่ตัวเข้าประชุมกันเปนแท่นรอง พระ พุทธรูปบนหลังหงษ์สองร้อยองค์ แต่ล้วนทองคำทั้งแท่ง สูงสองศอก แลข้อเท้าหงษ์นั้นใหญ่รอบ ๑๑ กำ ตัวหงษ์นั้นสูง ๑๖ ศอกทำด้วยทองคำทั้งแท่ง แลองค์พระมหาธาตุแผ่ทองคำเปนแผ่นอิฐ หนานั้นสามนิ้วกว้างสามศอกยาวห้าศอก ทองคำหุ้มองค์พระมหาธาตุขึ้นไปจนถึงยอด แล้วเอาลวดทองแดงร้อยหูกันเข้า เอาสายโซ่คล้องเข้าเปนตาข่ายหุ้มรัดข้างหน่วงขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง แลยอดพระมาลีเจดีย์มีลูกแก้วใหญ่ได้ห้าอ้อมมัชฌิมบุรุษ ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นแต่เชิงบัน ไดนั้นแต่เช้า ขึ้นไปถึงประตูพระมาลีเจดีย์พอเพลาเที่ยงก็ได้นมัสการแล้วกลับลงมาถึงเชิง บันไดก็พอค่ำ พื้นพระมาลีเจดีย์ซึ่งรองหงษ์เหยียบอยู่นั้นดาษด้วยแผ่นเงินหนาสามนิ้ว กว้างสามศอกเปนสี่เหลี่ยม ปะขาวบอกข้าหลวงว่า เหล็กกระดูกพระมาลีเจดีย์ที่ร้อยลูกแก้วนั้น ใหญ่รอบ ๑๑ กำ ขุนการเวกจึงถามว่า พระมาลีเจดีย์ใหญ่นักหนาฉนี้คือท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวจึงบอกว่า พระพุทธศักราช ๒๑๑ ปี ยังมีพระมหากระษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช สร้างพระมาลีเจดีย์ไว้นั้น ให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ให้คนเข้าสอง ประตู ให้ออกสองประตู เอาทองกองไว้ ถ้าผู้ใดรับเอาทองคำตำลึงหนึ่งแล้ว จึงให้ผู้นั้นเข้าไปทำการ ถ้าผู้ใดมิรับเอาทองคำตำ ลึงหนึ่งนั้น ก็มิได้ให้เข้าไปทำการเลย ทำการพระมาลีเจดีย์นั้น แต่คนตกตายทำบาญชีไว้ได้ถึง ๙ โกฏิ แลคนตายครั้งนั้น พระอัตถกถาจารย์เจ้าผู้รู้วิสัชนาว่าได้ไปสวรรค์ทั้งสิ้น แลขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า เมื่อก่อนนั้นก่อด้วยอิฐฤๅ ๆ ศิลา ปะขาวบอกว่าก่อด้วยอิฐ จึงนำขุนการเวกไปดูอิฐที่เหลือนั้นสักร้อยแผ่น ขุนการเวกก็ให้วัดแผ่นอิฐนั้นน่าสี่ศอกหกนิ้ว โดยกว้างห้าศอก โดยยาวห้าวาสองศอก ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่าในเมืองหงษาวดีนี้ยังมีสิ่งใดประหลาดอยู่บ้าง ปะขาวจึงนำขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงไปดูบ่อน้ำมันดินน้ำมันงา ขุนการเวกจึงให้วัดบ่อน้ำมันดินนั้น โดยยาวเส้นหนึ่งกับห้าวาจัตุรัศทั้งสองบ่อ ขุนการเวกจึงถามว่าผู้ใดทำไว้ ปะขาวบอกว่าน้ำมันดินนั้น ท้าวมหาพรหมประดิษฐานไว้ สำหรับพระภิกษุสามเณร ปะขาวนางชีทั้งปวง ให้เปนยาทาแก้เมื่อยขบแก้เจ็บหลัง กับแก้ถีนะมิทธะเงียบเหงาหาวนอน แล้วก็ให้ทานสัตวทั้งหลายกินแก้โรคต่าง ๆ มีเรี่ยวแรงทำการได้สดวก แลบ่อน้ำมันงานั้นพระอินทราชาธิราชใช้ให้พระเวศุกรรมเทวบุตรลงมาประดิษฐาน ไว้ให้พระสงฆ์ตามดูหนังสือแลบูชาพระศรีรัตนไตรยเจ้า แลให้ทานสัตวทั้งหลายตามแต่ผู้ใดจะปราถนา ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาหาพระสังฆราช ๆ ว่าพรุ่งนี้จะให้ปะขาวนำไปนมัสการพระเชตุพนมหา วิหาร ข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาที่อยู่ ครั้นเพลารุ่งเช้า ปะขาวก็นำขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวงไปที่พระเชตุพนมหาวิหาร แลบันไดนั้นขุนการเวกให้วัด บันไดก่ออิฐโดยกว้างได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา แต่เชิงบันไดขึ้นไปบนถนน ๑๕ เส้น ถนนยาวได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา ปะขาวก็พาเข้าไปในพระเชตุพนชั้นในกว้าง ๓๐ เส้นกับ ๑๐ วา เสาก่อด้วยอิฐเปนแปดเหลี่ยม วัดดูแต่เหลี่ยมหนึ่งได้เจ็ดวา แต่ประตูพระเชตุพนเข้าไปจนถึงพระอาศนบัลลังก์ ที่ตรัสพระธรรมเทศนา วัดได้ ๓๗ เส้นกับ ๑๐ วา ด้านแปพระเชตุพนยาวได้ ๗๕ เส้น เสาสูงถึงท้องขื่อวัดได้ ๑ เส้น ๑๐ วา พระรัตนบัลลังก์อยู่หว่างกลางห้องหนึ่งนั้น พื้นบนดาษด้วยทองคำหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอิกห้องหนึ่งดาษด้วยนากหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอิกชั้นหนึ่ง ดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว รอบรัตนบัลลังก์ทั้งสี่ด้าน ที่อาศนพระสงฆ์กว้างสามเส้น พื้นนั้นดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว ที่พื้นบริสัชนั่งนั้น ดาษด้วยดีบุกหนาห้านิ้ว นับเสาพระเชตุพนได้ ๓๐๐๐ เสา มีกำแพงแก้วรอบพระเชตุพนสูงสิบวา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า พระเชตุพนนี้ท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวบอกว่าอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายแด่สมเด็จพระพุทธเจ้า ที่อันนี้เปนที่สวนเจ้าเชต จึงให้ชื่อพระเชตุพน มหาวิหาร ตามนามพระราชกุมารผู้เจ้าของสวน มหาเศรษฐีสร้างสิ้นทรัพย์ถึง ๔๔ โกฏิ สร้างพระเชตุพนขึ้นจนสำเร็จ มหาเศรษฐีจ้างแต่คนในเรือนแห่งมหาเศรษฐีนั้นเองให้ทำการจ้าง ทองคำเสมอคนละตำลึงทอง คนในเรือนมหาเศรษฐีนั้น นับได้ ๑๒ อักโขภินี มหา เศรษฐีนั้นอยู่ปรางคปราสาทเจ็ดชั้น มีกำแพงแก้วสูงสองวา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานั้น พระสงฆ์แลบริสัชนั่งเต็มพระเชตุพนฤๅมิได้ ปะขาวบอกว่าเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานั้น พระสงฆ์แลบริสัชเต็มออกไปจนกำแพงแก้วแล้วยังมิพอ บริสัชยังเหลืออยู่นั้นก็เปนอันมากปะขาวกับขุนการเวกแลคนทั้งปวงก็กลับมา ขุนการเวกให้วัดทางแต่พระเชตุพนมาถึงพระมาลีเจดีย์ เปนทาง ๒๕ เส้น ก็พากันมานมัสการพระสังฆราชา ๆ ก็ปราไสว่า อุบาสกไปนมัสการพระเชตุพนเห็นสนุกดีอยู่ฤๅ ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้มาพบมาเห็นทั้งนี้ ก็เปนบุญลาภแก่ข้าพระพุทธเจ้านักหนา ได้มานมัสการบูชาเกิดความยินดีหาที่สุดมิได้ พระสังฆราชาจึงสั่งให้ปะขาวนำไปดูรฆังทองหล่อหนา ๑๑ นิ้ว ปากกว้าง ๕ วา ๒ ศอก สูง ๑๑ วา ไม้ตีรฆังใหญ่รอบ ๓ กำยาว ๓ วา โรงรฆังสูง ๑๕ วา เสานั้นไม้แก่น ข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมานมัสการพระสังฆราชา ขุนการเวกจึงถามว่าพระสงฆเจ้ามีสักกี่อาราม เปนพระสงฆ์มากน้อยสักเท่าใด พระสังฆราชาจึงบอกว่า พระสงฆ์มีแต่อารามเดียวเท่านี้ มีบาญชีมีพระวรรษาเปนพระสงฆ์ ๒๐๐๐๐๐ กับ ๓ พระองค์ พระสังฆราชาจึงถามขุนการเวกว่าพระสงฆเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้น ผ้าอันใดเปนผ้าพระสมณะสำรวม ขุนการเวกกราบทูลว่า พระสงฆ์ในกรุงศรีอยุทธยา ฝ่ายคันถธุระทรงผ้ารัตตกัมพลแดง ฝ่ายวิปัสนาย่อมทรงเหลือง พระสังฆราชาก็ว่า ทรงผ้ารัตตกัมพลแดงนั้นได้ชื่อว่าพระพุทธชิโนรสแท้จริง แลพระสังฆราชาว่าในเมืองหงษาวดีนั้นทรงผ้าแดงทั้งสิ้น พระสังฆราชาจึงเขียนอักษร ส่งให้กับขุนการเวกนั้นตัว ๑ ถ้าจะว่าเปนอักษรขอมเรียกว่าตี ว่าตามอักษรไทยเรียกตามตัวว่าเลขเจ็ด ก็พิเคราะห์โดยธงไชยก็ได้ทั้งสามตัวนั้นแล เลขเจ็ดตัวนั้นได้แก่เมืองหงษาวดี ตีนั้นได้แก่เมืองลังกาทวีป ตะนั้นได้แก่กรุงศรีอยุทธยาเหตุว่าเปนเมืองท่าน้ำ ต่ำกว่าเมืองเชียงใหม่ ๑๕๐ เส้น พระสังฆราชาจึงเขียนเปนบาฬีแปลตัดบทพิเคราะห์เปนคำไทยส่งให้ขุนการเวก ให้เอาลงไปถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาโพ้นเถิด ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงอยู่ได้ประมาณ ๒๕ วัน แลคนซึ่งไปด้วย ๕๐๐ นั้น ที่ประมาทไม่ตั้งอยู่ในศีลกล่าวมุสาทำปาณาติบาต ตายเสียที่ตามระยะทาง ๓๐๐ คน ที่เห็นสบายสนุกนั้นก็ลาบวชอยู่ณเมืองหงษาวดี ๕๐คน ขุนการเวกพระยาธรรมราชาข้าหลวงแปดนาย กับไพร่ ๑๕๐ ก็กราบลาพระสังฆราชา กลับคืนมายังกรุงศรีอยุทธยา ครั้นถึงแล้วก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็กราบทูลแจ้งประพฤดิเหตุ ซึ่งพระสังฆราชาจดหมายสั่งมานั้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือพระสังฆราชานั้น พระเจ้าอยู่หัวมีพระไทยปรีดาภิรมย์หรรษายิ่งนัก ทรงพระกรุณาตรัสถามข้าหลวงทั้งปวงต่าง ๆ แล้วพระราชทานรางวัลต่าง ๆ ตามควร ขุนการเวก พระยาธรรมราชา ภูดาษวัดเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม นายเพลิงกำจาย นายชำนององครักษ์ นายหาญใจเพ็ชร์ นายเด็จสงคราม กับไพร่ ๑๕๐ คน บรรดามาด้วยกันทั้งสิ้นนั้น ก็กราบถวายบังคมลาบวช ทรงพระกรุณาโปรดให้บรรพชา ตามเลื่อมไสศรัทธา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น